posttoday

จุลพันธ์ ลั่น มั่นใจไทยมีอำนาจการเจรจาภาษีกับสหรัฐ ไม่แพ้เวียดนาม

04 กรกฎาคม 2568

จุลพันธ์ มั่นใจ ไทยมีอำนาจต่อรองภาษีกับสหรัฐฯไม่แพ้เวียดนาม หวังลดภาษีเหลือ 10% ชูจุดแข็งด้านเสถียรภาพ-แรงงานฝีมือ พร้อมเดินหน้าคุย รักษาผลประโยชน์กลุ่มเปราะบาง เตรียมงบ 1 หมื่นล้านช่วยผู้ประกอบการรับมือผลกระทบ

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงการเตรียมความพร้อมของประเทศไทยในการเจรจาภาษีนำเข้ากับสหรัฐฯ ว่า ขณะนี้นำโดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง หัวหน้าคณะทีมไทยแลนด์อยู่ระหว่าการเจรจากับสหรัฐ แม้การเจรจานี้อาจยังไม่ได้ข้อสรุป 100% แต่เราก็มีความเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ต่อศักยภาพของตัวเอง และพร้อมแสดงบทบาทเชิงรุกในการผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจ  โดยย้ำว่าแม้เวียดนามจะถูกจับตามองจากสหรัฐฯ แต่ไทยเองก็มีจุดแข็งที่แตกต่างและไม่ด้อยกว่า แต่เชื่อมั่นว่า อำนาจในการเจรจาต่อรองของไทยไม่ได้น้อยไปกว่าเวียดนาม ทีมไทยแลนด์รู้ดีว่าโจทย์ของสหรัฐฯ คืออะไร และเตรียมตัวมาอย่างดี เพื่อให้การพูดคุยมีผลสำเร็จ และคาดว่าสหรัฐจะมีการเลือนกรอบการเจราออกไปก่อน เส้นตาย 9 มิ.ย.2568 

เรามีความเชื่อมั่นว่า อำนาจในการต่อรองของไทยมีไม่น้อยกว่าเวียดนาม ไม่ต้องตกใจ ซึ่งเชื่อว่าโจทย์ที่ท่านพิชัย รองนายก ฯ ได้รับไปพูดคุย ให้กระทบกลุ่มเปราะบางให้น้อยที่สุด โดยเฉพาะภาคเกษตรกร ที่มีความอ่อนแอ  ซึ่งเราคาดหวังว่าไทยจะบรรลุเป้าหมายลดภาษีนำเข้าในอัตรา 10% จากเดิมที่กำหนดอัตรา 36%

ทั้งนี้ สหรัฐฯ เป็นคู่ค้าหลักและมีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย โดยเฉพาะในประเด็นการค้า การลงทุน และเทคโนโลยี ซึ่งรัฐบาลไทยพร้อมเปิดรับความร่วมมือที่เกิดประโยชน์ร่วมกันอย่างแท้จริง

 

นายจุลพันธ์ระบุว่า แม้เวียดนามจะเติบโตในอัตราเร่งและกลายเป็นฐานการผลิตแห่งใหม่ของหลายบริษัทข้ามชาติ แต่ไทยยังคงได้เปรียบในแง่ของเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ระบบโลจิสติกส์ที่ทันสมัย และแรงงานฝีมือที่มีคุณภาพ การเจรจากับสหรัฐฯ ต้องไม่ใช่แค่เรื่องของการเติบโตเร็ว แต่คือเรื่องของการเติบโตอย่างมั่นคง เราต้องการให้ทุกการพูดคุยมีผลลัพธ์ที่เกิดประโยชน์ต่อทั้งภาคธุรกิจและประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง

 

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณส่วนหนึ่งจำนวน 10,000 ล้านบาท จากวงเงินรวมทั้งสิ้น 115,000 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้กระตุ้นเศรษฐกิจและดูแลภาคเอกชน หรือผู้ประกอบการที่อาจได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าและมาตรการภาษีของสหรัฐฯ เชื่อว่าเงินก้อนนี้จะช่วยให้ภาคธุรกิจรักษาการจ้างงานและสนับสนุนกระบวนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ


โดย รัฐบาลไทยกำลังเดินหน้าอย่างรอบคอบ แต่ไม่ถอยในการสร้างความเข้าใจร่วมกับสหรัฐฯ ในประเด็นการค้าและภาษี โดยตั้งอยู่บนหลัก “ได้ประโยชน์ ไม่เสียเปรียบ” และมองว่า นี่คือจังหวะสำคัญในการฟื้นความเชื่อมั่นและดึงดูดการลงทุนจากพันธมิตรระดับโลก

ทั้งนี้ เวียดนามกับสหรัฐฯ ได้บรรลุข้อตกลงด้วยการลดภาษีนำเข้าในอัตรา 20% (จากเดิม 46%) สำหรับสินค้าจากเวียดนาม และอัตรา 40% สำหรับสินค้าที่ผ่านประเทศที่สาม  ขณะที่ สินค้าสหรัฐฯ ส่งเข้าเวียดนามจะไม่เสียภาษี

 

ขณะเดียวกัน ไทยกำลังเร่งเจรจาอัตราภาษีนำเข้ากับสหรัฐฯ โดยหวังไม่ให้เกินอัตราที่ใช้กับเวียดนาม เพราะอาจสร้างความเสียเปรียบให้กับสินค้าไทยหลายกลุ่ม เช่น เกษตร เสื้อผ้า รองเท้า สิ่งทอ และอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ ชิ้นส่วน และแผงวงจร การเปรียบเทียบนี้ชี้ว่า หากอัตราภาษีนำเข้าไทยสูงกว่าเวียดนาม ผลิตภัณฑ์ไทยอาจสูญเสียการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ

ข่าวล่าสุด

ศาลชั้นต้น พิพากษาประหารชีวิต “เชษฐ์ปาดัง” เลขานายกปาดังเบซาร์