ONYX มองจีนวูบแค่ชั่วคราว เชื่อปี 69 ฟื้น เที่ยวไทยแตะ 5 ล้านคน
ONYX มองนักท่องเที่ยวจีนวูบแค่ชั่วคราว เชื่อปี 2569 ฟื้นแตะ 5 ล้านคน ธุรกิจจากนี้เดินเกมระวัง กระจายความเสี่ยงรับอนาคต เดินหน้าลุยตลาดต่างประเทศ เพิ่มพอร์ตมาเลเซีย
นายยุทธชัย จรณะจิตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารจัดการโรงแรม รีสอร์ต เซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ และที่พักอาศัย กล่าวถึงภาพเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันว่า ซึมมากว่า 2 ปีแล้ว แต่เชื่อว่าปีหน้า น่าจะเริ่มกลับมา โดยเฉพาะในส่วนของนักท่องเที่ยวจีน
“ตอนนี้เราอยู่กับกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน ‘เทา’ เป็นหลัก ซึ่งยังมีจำนวนมาก แต่เริ่มเห็นแนวโน้มขยายไปยังประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น ขณะเดียวกันส่วนตัว มองว่า กลุ่มที่จะเข้ามาในไทยอาจจะเป็นกลุ่ม Corporate และกลุ่ม Leisure หรือกลุ่มที่มาเที่ยวเพื่อพักผ่อน หรือมีกำลังซื้อสูงจะเข้ามามากขึ้น"
นายยุทธชัย กล่าวต่อว่า ถึงแม้ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนในปีนี้ยังไม่โดดเด่นมากนัก แต่มีแนวโน้มดีขึ้นในปีหน้า โดยเชื่อว่ามีโอกาสแตะ 5 ล้านคนได้
อย่างไรก็ตาม ต้องพิจารณาว่านักท่องเที่ยวจะเข้าสู่เซกเมนต์ใด เนื่องจากกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงมักเลือกเดินทางไปยุโรปหรือญี่ปุ่น ส่วนกลุ่มระดับกลาง (Medium Class) ยังคงนิยมมาเที่ยวเมืองไทย
เมื่อถามถึงกระทบภาคโรงแรมอย่างไรบ้าง?
นายยุทธชัย กล่าวว่า สำหรับธุรกิจของ ONYX ซึ่งปัจจุบันมีอสังหาริมทรัพย์ในเครือกว่า 42 แห่ง ทั้งโรงแรม อพาร์ตเมนต์เซอร์วิส และร้านอาหารต่าง ๆ ถือเป็นผู้เล่นในตลาดที่มีความหลากหลายด้านกลุ่มลูกค้า
“เราไม่ได้พึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งเป็นหลัก แตกต่างจากบางรายที่เน้นตลาดจีนเป็นอันดับหนึ่ง ทำให้เมื่อจำนวนนักท่องเที่ยวหายไป ย่อมกระทบหนัก แต่ ONYX เลือกที่จะเดินเกมแบบระมัดระวัง ไม่เร่งขยายแบบหวือหวา แต่จะค่อย ๆ ลงทุนทีละโครงการ โดยเน้นการมองหาโอกาสในตลาดที่เหมาะสม”
กระจายความเสี่ยง ขยายตลาดต่างประเทศ
นายยุทธชัย เผยอีกว่า นอกจากตลาดในประเทศ ONYX ยังพยายามขยายธุรกิจออกไปยังประเทศอื่น ๆ อย่างที่ผ่านมา ได้เปิดโรงแรมใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้แก่ อมารี โคลัมโบ ประเทศศรีลังกา (Amari Colombo, Sri Lanka) เปิดให้บริการเดือน ธันวาคม 2024, อมารี เวียงจันทน์ ประเทศลาว (Amari Vientiane, Laos) เปิดให้บริการเดือน มีนาคม 2025 และโอโซ่ เมดินี ประเทศมาเลเชีย (OZO Medini, Malaysia) เป็นต้น
"โดยเฉพาะโอกาสในประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นประเทศขนาดใหญ่ ตอนนี้ถ้าเป็นไปได้ก็พยายามจะจับกระแสอื่น ๆ ตาม เช่น ดาต้าเซ็นเตอร์ ไมโครชิฟ เพราะโรงงานเริ่มมีการย้ายฐาน และที่น่าสนใจคือเรื่อง Wellness ซึ่งในมาเลเซีย เป็นคู่แข่งไทย เพราะเขาดึงตลาดอินโดนีเซีย เวียดนามมา ซึ่งในอนาคต ก็มองว่ามีโอกาสทางธุรกิจที่จะเป็นไปได้"