เปิดมติอนุกรรมการกฎหมาย กสทช. ปม "ทรูฯ-พิรงรอง" ปฎิบัติหน้าที่ได้หรือไม่
มติระบุชัด ต้องเป็นการร้องของ “ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป” เท่านั้น ส่วนกรณี ประธานกสทช.ยกประเด็นขึ้นมาเองได้หรือไม่นั้น แหล่งข่าวชี้ชัด “ไม่ได้” เหตุคดียังไม่สิ้นสุด
เปิดผลพิจารณาของอนุกรรมการด้านกฎหมาย กสทช. กรณี ทรูคัดค้านการปฏิบัติหน้าที่ของ “ พิรงรอง รามสูต” สามารถร่วมทำหน้าที่กรรมการร่วมพิจารณาระเบียบวาระเกี่ยวกับบริษัทในเครือทรู คอร์ปอเรชั่น ได้หรือไม่
มติเสียส่วนใหญ่ เห็นว่า ต้องเป็นการร้องของ “ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป” เท่านั้นจะเหมารวมเป็น กลุ่มทรูทั้งเครือไม่ได้ และต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ “ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป” เท่านั้น
หากไม่มีการร้องจากคู่กรณี ส่วนประเด็น ประธาน กสทช. จะยกเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาเองไม่ได้ มีกรรมการบางท่านขอเขียนความเห็นส่วนตัวประกอบให้บอร์ดพิจารณา
รายงานข่าวจาก สำนักงาน กสทช. เปิดเผยว่า จากกรณีคณะอนุกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ได้มีการประชุมพิจารณาระเบียบวาระเกี่ยวกับการคัดค้านการปฏิบัติหน้าที่ของนางสาวพิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)ด้านกิจการโทรทัศน์ ว่าจะสามารถร่วมทำหน้าที่กรรมการร่วมพิจารณาระเบียบวาระเกี่ยวกับบริษัทในเครือทรู คอร์ปอเรชั่น ได้หรือไม่
การประชุมดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่นายแพทย์ สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธานกสทช.เป็นคนหยิบยกประเด็นนี้ให้ที่ประชุมพิจารณาโดยอ้างว่ากลัวโดน 157 เหตุละเลยการปฏิบัติหน้าที่ เมื่อบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ทำหนังสือแจ้งว่า กสทช.พิรงรอง กำลังมีคดีระหว่างกัน จึงไม่ต้องการให้เข้าประชุมในวาระที่เกี่ยวข้องกับทรูฯ
ทั้งนี้ ศาลอาญาคดีทุจริตฯ มีคำพิพากษาสั่งจำคุก นางสาวพิรงรอง เป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2568 แต่ได้รับการประกันตัวและอยู่ระหว่างการยื่นอุทธรณ์ และยังคงปฏิบัติหน้าที่ใน กสทช. อย่างต่อเนื่อง โดยทาง บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด และบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ส่งหนังสือคัดค้านไม่ให้ นางสาวพิรงรอง พิจารณาวาระที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มบริษัท ทรูฯ
ดังนั้นที่ประชุมบอร์ด กสทช. ครั้งที่ 5/2568 (ต่อเนื่อง) วันที่ 19 ก.พ. และ 21 ก.พ. 2568 เมื่อถึงการพิจารณาระเบียบวาระที่เกี่ยวข้องกับ ทรู ทางประธาน กสทช. ได้หารือในเรื่องจดหมายของทรู ซึ่งบอร์ดมีความเห็นแตกต่างกัน สุดท้ายแล้ว ที่ประชุม กสทช. มีมติให้นำเรื่องนี้หารือต่ออนุกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมายของ กสทช.
แหล่งข่าวจากสำนักงาน กสทช. กล่าวว่า คณะอนุกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ได้ประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณา การคัดค้านการปฏิบัติหน้าที่ของนางสาวพิรงรอง โดยที่ประชุมได้มีมติร่วมกันว่า
1.ทรูฯจะสามารถเรียกร้องได้ต้องเป็นบริษัทที่ได้รับความเสียหายเท่านั้น ซึ่งก็คือ บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด ที่เป็นนิติบุคคลที่เป็นคู่กรณี ไม่ใช่ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งไม่สามารถเหมารวมกันได้ทั้งหมด
2.การร้องเรียนต้องเป็นการร้องเฉพาะเรื่องนั้นๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่รวมการพิจารณาเรื่องอื่นๆ
3.หากไม่มีการร้องของทางคู่กรณีทางประธาน กสทช.จะเสนอพิจารณา หรือหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาทักท้วงไม่ได้
ดังนั้นเรื่องกรณีของนางสาวพิรงรอง กับการพิจารณาเรื่องทรู ที่ประชุมอนุกรรมการด้านกฎหมาย ได้พิจารณา และได้ข้อสรุปเสียงส่วนใหญ่ไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 1 พ.ค.2568
แต่ยังมีข้อถกเถียงในประเด็นข้อ 3 ที่ ประธาน กสทช. หรือบอร์ด กสทช.คนใดจะสามารถขอให้หยิบเรื่องนี้มาขอให้บอร์ดพิจารณาในที่ประชุมได้หรือไม่ จึงได้มีการนัดหารือในเรื่องนี้อีกครั้งเมื่อวันที่ 15 พ.ค. ที่ผ่านมา
ผลหารือมีกรรมการบางส่วนของสงวนสิทธิในการเขียนความเห็นส่วนตัวประกอบแนบให้ทางสำนักงาน กสทช.เพื่อเสนอให้บอร์ดสำหรับการพิจารณาด้วย แต่เสียงส่วนใหญ่ก็ยังคงมีความเห็นตามเดิม ซึ่งหลังจากนี้ทางสำนักงาน กสทช.จะต้องไปรวบรวม และนำเสนอเข้าที่ประชุมบอร์ด เพื่อเสนอผลพิจารณาของอนุฯด้านกฎหมาย ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาอีกไม่น้อยกว่า 2 อาทิตย์
ส่วนเรื่องที่มีการยื่นหนังสือคัดค้านการปฏิบัติหน้าที่ของ นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา หนึ่งในคณะอนุกรรมการฯ โดยหยิบยกเรื่องความเป็นกลาง โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการควบรวมกิจการทรู-ดีแทค นั้น ที่ประชุมอนุ ไม่ได้มีการพิจารณา เนื่องจากเห็นว่าเป็นคนละส่วนกันทำให้ นพ.ประวิทย์ ยังสามารถปฎิบัติหน้าที่ได้ตามปกติ
ขั้นตอนต่อจากนี้ ทางสำนักงาน กสทช. จะต้องนำมตินี้ ของ อนุฯ เสนอให้ที่ประชุมบอร์ด เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาในเรื่องนี้ หากมีการร้องเรียนเข้ามาว่าจะมีแนวทางพิจารณาในเรื่องนี้อย่างไรบ้าง อย่างไรก็ตามเชื่อว่า หากทางทรูดิจิทัล ร้องเรียนมาและเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับทรูดิจิทัลโดยตรงทาง นางสาวพิรงรอง ก็พร้อมที่จะไม่พิจารณา หรืองดออกเสียง ตามมารยาทอย่างแน่นอน
สำหรับอนุกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยประธาน กสทช.เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2567 เป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายที่มีชื่อเสียงและมีประสบการณ์สูง ประกอบด้วย
1.ศาสตราจารย์พิเศษ จรัญ ภักดีธนากุล อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรมและผู้พิพากษาศาลยุติธรรม ประธานอนุกรรมการ
2.ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตรองประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ กรรมการคณะกรรมการกฤษฎีกา อดีตศาสตราจารย์ประจำภาควิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อนุกรรมการ
3. ศาสตราจารย์พิเศษ เข็มชัย ชุติวงศ์ อดีตอัยการสูงสุด อนุกรรมการ
4.ศาสตราจารย์ ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อดีตศาสตราจารย์ประจำภาควิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายกสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
5.ศาสตราจารย์ ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อดีตศาสตราจารย์ประจำภาควิชากฎหมายมหาชน และอดีตคณบดี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อนุกรรมการ
6.ศาสตราจารย์ ดร.จตุรนต์ ถิระวัฒน์ ราชบัณฑิต ประเภทวิชานิติศาสตร์ สาขาวิชากฎหมายระหว่างประเทศ สำนักธรรมศาสตร์และการเมือง ปัจจุบัน เป็นผู้อำนวยการศูนย์กฎหมายระหว่างประเทศ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อนุกรรมการ
7.พล.อ.เชิดชัย อังศุสิงห์ อดีตเจ้ากรมพระธรรมนูญ อนุกรรมการ
8.พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ บุญยืนอนนต์ รองประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตร เพิ่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการทำความตกลงทางกาค้าเสรี สภาผู้แทนราษฎร อนุกรรมการ
9.พ.ต.อ.ดร.ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล อนุกรรมการ
10.นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา อดีตกรรมการ กสทช. อนุกรรมการ
11.นายวราวุธ ศิริยุทธ์วัฒนา อดีตรองประธานศาลปกครองสูงสุด อนุกรรมการ
12.นายวีรพล ปานะบุตร อดีตรองอัยการสูงสุด อนุกรรมการ
13.นายเพิ่มสิน วิชิตนาค รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการยุติการดำเนินคดีแพ่งและอนุญาโตตุลาการ สำนักงานอัยการสูงสุด อนุกรรมการ
14.นางพงษ์สวาท กายอรุณสุทธิ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม อนุกรรมการ อนุกรรมการ


