Cartier แรงไม่ตก! รับกำลังซื้อเศรษฐีทั่วโลก เมินเศรษฐกิจผันผวน
เศรษฐีทั่วโลกยังเปย์ไม่หยุด! Richemont เจ้าของ Cartier โชว์ฟอร์มแกร่ง ยอดขายไตรมาสล่าสุดพุ่งสวนกระแส เศรษฐกิจผันผวนยังเอาไม่ลง
ในวันที่เศรษฐกิจโลกยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน หลายธุรกิจอาจกำลังเหนื่อยหอบ หรือต้องปรับตัวอย่างหนัก แต่ไม่ใช่กับวงการสินค้าหรูระดับ Hi-End โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มลูกค้ากระเป๋าหนัก
ซึ่งล่าสุด สำนักข่าว CNBC รายงานว่า Richemont กลุ่มบริษัทเจ้าของแบรนด์หรูระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Cartier, Van Cleef & Arpels, Montblanc, IWC ฯลฯ ได้ประกาศผลประกอบการที่ตอกย้ำภาพความแข็งแกร่งอีกครั้ง
Richemont รายงานยอดขายในไตรมาสที่ 4 ของปีงบประมาณ (สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมา) ที่ 5.17 พันล้านยูโร หรือราว 192,158,560,000 บาท!
ตัวเลขนี้ไม่ใช่แค่สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน (เพิ่มขึ้น 7% ที่อัตราแลกเปลี่ยนคงที่) แต่ยัง สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ในโพลล์ของ LSEG ที่ 4.98 พันล้านยูโรอย่างชัดเจน
สะท้อนให้เห็นว่า ต่อให้เศรษฐกิจโลกจะผันผวนแค่ไหน เงินในกระเป๋าของกลุ่มผู้มีอันจะกินก็ยังคงพร้อมที่จะจับจ่ายใช้สอยกับสินค้าฟุ่มเฟือยได้อย่างไม่สะทกสะท้าน
หลังตลาดเปิดทำการเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หุ้นของ Richemont ก็ตอบรับข่าวดีนี้ทันที ด้วยราคาที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 4%
แง้มไส้ใน.. ปัจจัยขับเคลื่อนยอดขาย Cartier พุ่ง
คำตอบชัดเจนที่สุดมาจาก ธุรกิจเครื่องประดับ (Jewellery Maisons) ซึ่งรวมแบรนด์แม่เหล็กที่คนทั่วโลกรู้จักกันดีอย่าง Cartier, Van Cleef & Arpels และ Buccellati
กลุ่มธุรกิจนี้เป็นหัวหอกสำคัญที่ทำยอดขายเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในระดับ ตัวเลขสองหลัก บ่งชี้ถึงความต้องการที่ยังคงร้อนแรงสำหรับอัญมณีและเครื่องประดับชั้นสูง
ในทางตรงกันข้าม ธุรกิจนาฬิกา (Specialist Watchmakers) ซึ่งมีแบรนด์อย่าง Piaget และ Roger Dubuis กลับต้องเผชิญความท้าทาย ยอดขายมีการปรับตัวลดลง โดยมีสาเหตุหลักมาจากความอ่อนแอของตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ภาพรวมทั้งปี และ ตลาดที่น่าจับตา
สำหรับผลประกอบการเต็ม Richemont ปิดปีงบประมาณด้วยยอดขายรวมที่ 2.14 หมื่นล้านยูโร หรือราว 796,486,600,000 บาท เพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์เล็กน้อยที่ 2.13 หมื่นล้านยูโร
เมื่อแยกดูตามภูมิภาค ยอดขายรายปีมีการเติบโตที่ดีในแทบทุกพื้นที่ ยกเว้นภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมญี่ปุ่น) ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่สุดของ Richemont
โดยการหดตัวส่วนใหญ่มาจากยอดขายใน จีน ที่ลดลงถึง 23% ท่ามกลางความกังวลและแรงกดดันทางเศรษฐกิจภายในประเทศ
แต่ในภูมิภาคเดียวกัน ญี่ปุ่น กลับกลายเป็นดาวเด่น และเป็นผู้นำการเติบโตของยอดขายรายปี ด้วยอัตราสูงถึง 25% ได้อานิสงส์เต็มๆ จากการใช้จ่ายที่คึกคักของทั้งคนในประเทศและนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้าไป
โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ได้รับประโยชน์จากค่าเงินเยนที่อ่อนค่า ทำให้สินค้าหรูแบรนด์ดังมีราคาที่น่าดึงดูดใจยิ่งขึ้น
โจฮัน รูเพิร์ต ประธาน Richemont กล่าวในแถลงการณ์ว่า "ผลประกอบการโดยรวมของกลุ่มถือว่าแข็งแกร่งมาก มาจากแรงหนุนหลักของธุรกิจเครื่องประดับและช่องทางค้าปลีก ที่มีโมเมนตัมดีขึ้น"
อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังส่งสัญญาณเตือนว่า ท่ามกลางความไม่แน่นอนทั่วโลกที่ยังคงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นความผันผวนทางเศรษฐกิจ หรือความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์
ธุรกิจยังคงต้องใช้ "ความคล่องตัวและวินัยที่เข้มแข็ง" ในการรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด
นักวิเคราะห์จาก BofA Global Research ชี้ให้เห็นถึง 3 ปัจจัยท้าทายหลักๆ ที่ Richemont ต้องเผชิญ คือ
- ราคาทองคำที่อยู่ในระดับสูง (กระทบต้นทุนธุรกิจเครื่องประดับ)
- ความเสี่ยงจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่อาจเกิดขึ้น
- ความผันผวนค่าเงิน (โดยเฉพาะการแข็งค่าของเงินฟรังก์สวิส และการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ)
แต่จุดแข็งสำคัญที่ช่วยให้ Richemont ยังยืนหยัดอยู่ได้ คือ "อำนาจในการตั้งราคา" (Pricing Power) ซึ่งเป็นคุณสมบัติเด่นของสินค้าหรูที่ทำให้บริษัทสามารถปรับขึ้นราคาสินค้าได้โดยที่กำลังซื้อของลูกค้าไม่ลดลง
"เราคิดว่าการปรับราคาจะสามารถชดเชยปัจจัยลบที่กล่าวมาได้ถึงครึ่งหนึ่ง" นักวิเคราะห์จาก BofA ระบุ
พร้อมเสริมว่า การตั้งราคาที่เหมาะสม, การบริหารจัดการผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของตลาด และการใช้กำลังการผลิตอย่างเต็มประสิทธิภาพ คือปัจจัยสำคัญที่จะช่วยชดเชยผลกระทบจากภายนอกได้ชัดเจนที่สุด
เรื่องราวของ Richemont สะท้อนให้เห็นว่าในโลกธุรกิจที่ซับซ้อนและผันผวน กลุ่มสินค้าหรูที่พึ่งพาฐานลูกค้ากระเป๋าหนัก ยังคงเป็นกลุ่มที่สามารถสร้างผลประกอบการที่น่าทึ่งได้
แต่พวกเขาก็ยังต้องเผชิญความท้าทายจากปัจจัยภายนอกที่อยู่นอกเหนือการควบคุม ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องจับตาดูต่อไปว่า "อำนาจเศรษฐี" จะยังคงแข็งแกร่งกว่าทุกคลื่นความผันผวนได้หรือไม่ในระยะยาว


