posttoday

แจกเงินหมื่นจ่อสะดุด! นายก สั่งรื้องบฯกระตุ้นศก. รับมือพิษภาษีทรัมป์

09 พฤษภาคม 2568

พิชัย รับลูกคำสั่งนายกฯ เตรียมชงบอร์ดปรับแผนใช้งบกระตุ้นศก.ใหม่ รวมถึงแจกเงินหมื่นดิจิทัลวอลเล็ต หลังมีงบเหลือแค่ 1.57 แสนล้าน สู้พิษภาษีสหรัฐ

พิชัย รับคำสั่งนายกฯ เตรียมปรับแผนใช้งบกระตุ้นศก.ใหม่ทั้งระบบ งบเหลือแค่ 1.57 แสนล้าน ลุ้นชะตาวอลเล็ตหมื่น-สู้พิษภาษีสหรัฐ

 

หลังจากที่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เร่งทบทวนแผนกระตุ้นเศรษฐกิจไทยทั้งระบบ ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และแรงกดดันจากมาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกา

 

ล่าสุด นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า รัฐบาลเตรียมจัดประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในเร็ว ๆ นี้ โดยคาดว่าที่จะปรับแผนใช้งบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ทั้งหมด ซึ่งรวมถึงโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์ภาษีของสหรัฐฯ สร้างความไม่แน่นอน และกระทบต่อทิศทางการค้าโลกต้องหยุดชะงัก

 

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยจากบริษัทจัดอันดับเครดิต Moody’s ที่แสดงความกังวลต่อสถานะการคลังของไทย ขณะเดียวกัน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ส่งหนังสือเสนอให้รัฐบาลปรับแนวทางใช้งบให้เน้นด้านการลงทุน เพื่อรองรับเศรษฐกิจในช่วงที่การส่งออกอาจเผชิญความเปราะบาง

 

เรื่องนี้ผมจะไม่ตัดสินใจคนเดียว ผมแจ้งคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้รับทราบแล้วว่าเราจะปรับแผน และขอให้ทุกฝ่ายกลับไปทบทวน ปรับแผน การใช้เงินอย่างไร รวมถึงการใช้เงินในแต่ละโครงการ รวมถึงโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตด้วย ว่าจะเดินหน้าต่ออย่างไร ซึ่งตอนนี้มีวงเงินเหลืออยู่ 1.57 แสนล้านบาท

สำหรับ แผนการกระตุ้นการลงทุนใหม่ ควรมุ่งเน้นการลงทุนภายในประเทศ โดยเฉพาะโครงการที่ช่วยสร้างงาน เช่น การสร้างโรงไฟฟ้าไบโอแก๊สจากพืชพลังงาน อย่างหญ้าเนเปียร์หรือข้าวโพด ที่ไม่เพียงแต่สร้างการจ้างงาน แต่ยังเตรียมพร้อมรองรับความต้องการไฟฟ้าจากธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ที่เติบโตขึ้น

แจกเงินหมื่นจ่อสะดุด! นายก สั่งรื้องบฯกระตุ้นศก. รับมือพิษภาษีทรัมป์

ทั้งนี้ เห็นว่าการทบทวนแผนกระตุ้นเศรษฐกิจควรให้ความสำคัญกับการลงทุนภายในประเทศ โดยเฉพาะการส่งเสริมการจ้างงาน เช่น การสร้างโรงไฟฟ้าไบโอแก๊ส ซึ่งผลิตไฟฟ้าจากการหมักวัตถุดิบอย่างหญ้าเนเปียร์หรือข้าวโพด โครงการลักษณะนี้ไม่เพียงช่วยสร้างงาน แต่ยังรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ในอนาคต

 

นอกจากนี้ ควรเน้นกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ และยกระดับการผลิตในภาคเกษตร ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับการบริหารจัดการน้ำ รัฐบาลจำเป็นต้องลงทุนเพิ่มเติมทั้งในระบบน้ำกิน น้ำใช้ น้ำเพื่อการเกษตร และน้ำสำหรับภาคอุตสาหกรรม รวมถึงควรเร่งลงทุนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ หลังจากที่เริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวในปีนี้
 

ส่วนตัวมองว่า ไทยยังมีโอกาสขยายการส่งออกไปจีนได้อีกมาก โดยเฉพาะในช่วงที่การค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนชะลอลง จากการสำรวจพบว่าจีนยังต้องการนำเข้าอะไหล่จำนวนมาก ซึ่งเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยในการเจาะตลาดสินค้ากลุ่มนี้ หากไทยสามารถขยายส่งออกได้สำเร็จ ก็จะช่วยพยุงภาพรวมการส่งออกของประเทศไม่ให้ชะลอตัวลงมากนัก

 

ในระยะสั้น รัฐบาลเตรียมออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) เพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ โดยวงเงินจะไม่ต่ำกว่าที่เคยใช้ในช่วงโควิด-19 ซึ่งกระทรวงการคลังจะรับภาระดอกเบี้ย ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะใช้แหล่งเงินจาก ธปท. หรือสถาบันการเงิน เนื่องจากระบบยังมีสภาพคล่องสูง

Soft Loan จะออกหลังหารือกับภาคเอกชนแล้วว่าอุตสาหกรรมใดจะได้รับผลกระทบมากที่สุดหลังการเจรจาการค้าชัดเจนขึ้น 

นอกจากนี้ นายพิชัยว่า เม็ดเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าไทยมากขึ้น เป็นผลจากมาตรการเพิ่มความโปร่งใสในตลาดหลักทรัพย์ ที่ช่วยสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุน ส่วนการแข็งค่าของเงินบาทนั้น เป็นหน้าที่ของ ธปท. ที่จะต้องติดตามและดูแลอย่างใกล้ชิด

 

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเผยว่า รัฐบาลเผชิญข้อจำกัดงบประมาณในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดย งบกลางปี 2568 ที่ตั้งไว้ 187,700 ล้านบาท เหลือเพียง 150,000 ล้านบาท หลังใช้ไปแล้ว 37,000 ล้านบาทในโครงการแจกเงินหมื่นให้กลุ่มเปราะบางและผู้สูงอายุ หากจะขยายโครงการให้ครอบคลุมอีก 18 ล้านคน จะต้องใช้งบเพิ่ม อีก 180,000 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่างบที่เหลืออยู่

 

นอกจากนี้ ยังมี อีก 11 โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ต้องใช้งบเพิ่มเติม ครอบคลุมการบริโภค การลงทุน การใช้จ่ายภาครัฐ และการส่งออก จึงจำเป็นต้อง ทบทวนและจัดลำดับความสำคัญของโครงการใหม่ทั้งหมด

 

ด้านแหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลระบุว่า การปรับโครงสร้างงบปี 2568 ทำได้จำกัด เพราะกฎหมายงบผ่านสภาแล้ว หากต้องโอนเปลี่ยนแปลงต้องออก พ.ร.บ. โอนงบ ซึ่งอาจทำให้ล่าช้า จึงทำได้เพียง การปรับภายในกระทรวง โดยรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง

 

สำหรับ งบปี 2569 ที่ ครม. เห็นชอบแล้ว วงเงินรวม 3.78 ล้านล้านบาท พบว่างบลงทุน ลดลง 7.3% จากปี 2568 เหลือ 864,077 ล้านบาท คิดเป็น 22.9% ของงบรวม (จาก 24.8%) งบชำระคืนหนี้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 151,200 ล้านบาท งบกลางรายการกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2569 ถูกตั้งไว้เพียง 25,000 ล้านบาท เทียบกับยอดคงเหลือในปี 2568 แล้วถือว่าต่ำมาก

 

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ระบุว่า การกู้เงินเพื่อดูแลเศรษฐกิจจะเป็นทางเลือกสุดท้ายของรัฐบาล เนื่องจากยังมีช่องทางการใช้งบประมาณอีกหลายทาง เช่น งบประมาณปี 2568 ที่ยังเหลืออยู่ 157,000 ล้านบาท เงินกู้เพื่อภาวะฉุกเฉินวงเงิน 50,000 ล้านบาท (ซึ่งเคยใช้ช่วงโควิด-19) เงินคงคลัง และการบริหารจัดการงบประมาณปี 2569

 

รัฐบาลตั้งเป้าให้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เร็วที่สุด เพื่อให้เกิดผลกับ GDP ปี 2568 โดยไม่ต้องการให้เศรษฐกิจขยายตัวเพียง 2.1% ตามที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดการณ์ไว้ แต่จะพยายามรักษาระดับการเติบโตให้ใกล้เคียง 3% ให้มากที่สุด ทั้งนี้ นายลวรณย้ำว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะออกมาจะครอบคลุมหลายด้าน ไม่ใช่แค่การบริโภคเท่านั้น