สินเชื่อส่วนบุคคลชะลอตัว KTC Proud รุกผ่อนมือถือ ดันพอร์ตโต

ความท้าทายของสินเชื่อส่วนบุคคลในปี 2568 ท่ามกลางเศรษฐกิจชะลอตัวและภาวะหนี้ครัวเรือนที่สูง

 

ในช่วงต้นปี 2568 สถานการณ์เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับแรงกดดันจากหลายปัจจัย ทั้งจากภายในประเทศและจากภายนอก โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวที่ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อทุกภาคส่วน รวมถึงอุตสาหกรรมสินเชื่อเพื่อการบริโภค ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการใช้จ่ายของประชาชนและเศรษฐกิจในภาพรวม

 

จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ภาพรวมของสินเชื่อส่วนบุคคลรวมสินเชื่อทะเบียนรถเป็นประกันของไทยอยู่ที่ 851,901 ล้านบาท ลดลง 0.21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่สินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน เช่น สินเชื่อส่วนบุคคลแบบไม่ต้องใช้ทรัพย์ค้ำประกัน อยู่ที่ 476,728 ล้านบาท ลดลงอย่างชัดเจนถึง 5.6%

 

ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่ระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ขณะที่สถาบันการเงินเองก็เข้มงวดมากขึ้นในการอนุมัติสินเชื่อ เพื่อลดความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระในช่วงที่ความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้เริ่มสั่นคลอน

 

ในขณะเดียวกัน สินเชื่อบัตรเครดิต ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค มีมูลค่ารวมอยู่ที่กว่า 460,000 ล้านบาท ลดลง 2.8% เช่นกัน โดยปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการชะลอตัวนี้คือภาระหนี้ครัวเรือนของไทยที่ยังอยู่ในระดับสูง ประกอบกับแนวโน้มรายได้ของประชาชนที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ทำให้สถาบันการเงินต้องยกระดับมาตรการบริหารความเสี่ยง ส่งผลให้การอนุมัติสินเชื่อเป็นไปอย่างเข้มงวดขึ้น

 

กลยุทธ์ปรับตัวของธุรกิจสินเชื่อ: เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ

บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เคทีซี (KTC) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดสินเชื่อบุคคล ได้เปิดเผยแนวทางรับมือกับภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจ โดยมุ่งเน้นการเติบโตบนพื้นฐานของ "สินเชื่อคุณภาพ" มากกว่าการขยายฐานลูกค้าเชิงปริมาณ

 

นางพิชามน จิตรเป็นธรรม ผู้บริหารสูงสุดสายงานสินเชื่อบุคคลของเคทีซี เปิดเผยว่า ในปี 2568 นี้ คาดว่าภาพรวมอุตสาหกรรมสินเชื่อบุคคลจะ "ทรงตัว" ในส่วนของธุรกิจสินเชื่อบุคคลเคทีซีคาดว่าจะเติบโต 3% โดยไตรมาส 1/68 เติบโต 0.6% 

 

 

“ภาพรวมอุตสาหกรรมสินเชื่อส่วนบุคคลในไตรมาสแรกของปี 2568 ยังคงชะลอตัว ส่วนหนึ่งมีปัจจัยมาจากรายได้ครัวเรือนที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และภาระหนี้ที่ยังสูงอยู่ เคทีซียังคงให้ความสำคัญในการขยายพอร์ตสินเชื่อไปพร้อมๆ กับการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ จึงมีกลยุทธ์ในการขยายช่องทางการรับสมัครสินเชื่อไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการวงเงินสินเชื่อเพื่อซื้อของที่จำเป็น เช่น  Smartphone คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ IT หรืออุปกรณ์ในหมวดยานยนต์ เป็นต้น" นางพิชามน กล่าว

 

รวมถึงพร้อมขยายการปล่อยสินเชื่อในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคด้านอื่นๆ ด้วย เช่น ยางรถยนต์ (ไทร์พลัส) สินค้าด้านสุขภาพและความงาม เป็นต้น

 

ทั้งนี้ เคทีซีเลือกที่จะเดินเกมด้วยกลยุทธ์ระมัดระวัง โดยเน้นปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าที่มีประวัติทางการเงินดี มีความสามารถในการชำระหนี้ และมีรายได้มั่นคง ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มของธนาคารพาณิชย์และผู้ประกอบการทางการเงินอื่น ๆ ที่ต้องการควบคุมอัตราหนี้เสีย (NPL) ไม่ให้เพิ่มสูงขึ้น

 

 

ปัจจัยภายนอกกดดันเศรษฐกิจต่อเนื่อง

อีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องจับตาคือสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะความเสี่ยงจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าอื่น ๆ และนโยบายกีดกันทางการค้า เช่น การปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า ซึ่งส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานและการส่งออกของไทยโดยตรง

 

ธนาคารโลกได้ปรับลดคาดการณ์ GDP ของไทยในปี 2568 ลงเหลือเพียง 1.6% จากระดับกว่า 2% ที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า ถือเป็นสัญญาณที่สะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยยังเปราะบาง และมีความไม่แน่นอนสูงในช่วงเวลานี้

 

รุกตลาดสินเชื่อยุคใหม่: KTC พราว ผนึกพันธมิตรใหญ่ ดันโปรผ่อน 0% นาน 24 เดือน

หนึ่งในแผนกลยุทธ์สำคัญของ KTC เพื่อผลักดันการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อในปีนี้ คือการจับมือกับ 4 พันธมิตรร้านค้าชั้นนำ ได้แก่ เอไอเอส (AIS), ทรูช็อป (True Shop), แอดไวซ์ (Advice), และ TG FONE ขยายบริการสินเชื่อแบบ Point-of-Sale Financing สำหรับสินค้าในกลุ่ม Smartphone และอุปกรณ์ IT

 

โดยผู้บริโภคสามารถสมัครบัตรกดเงินสด “KTC พราว” ผ่านระบบ e-Application ที่ร้านค้าที่ร่วมรายการกว่า 1,000 สาขาทั่วประเทศ รู้ผลอนุมัติภายใน 30 นาที และรับสินค้าได้ทันที พร้อมโปรแรง ผ่อน 0% สูงสุด 24 เดือน เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในช่วงเศรษฐกิจตึงตัว

 

อีกหนึ่งไฮไลต์คือแคมเปญ “เคลียร์หนี้” ที่จัดต่อเนื่องมาแล้วกว่า 15 ปี ช่วยให้สมาชิกที่มีวินัยในการชำระหนี้สม่ำเสมอ มีสิทธิ์ลุ้นรับเงินช่วยปลดหนี้ทั้งหมด โดยที่ผ่านมา KTC ได้เคลียร์หนี้ให้ลูกหนี้ไปแล้วกว่า 6,000 ราย มูลค่ารวมกว่า 51 ล้านบาท นับเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สร้างแรงจูงใจเชิงบวกที่เสริมสร้างวินัยทางการเงินอย่างยั่งยืน

 

โดย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568

• KTC พราวมีสมาชิกบัตรกดเงินสดรวม 690,178 บัญชี
• ยอดสินเชื่อรวมแก่ลูกหนี้สินเชื่อบุคคล (รวมดอกเบี้ยค้างรับ) อยู่ที่ 34,857 ล้านบาท
• อัตราหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) ของสินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 2.35%

 

 

เคทีซี พราว ปี 68 โตต่อเนื่อง เจาะกลุ่มเงินเดือนมั่นคง-กลุ่มวิชาชีพใหม่

แม้ภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นเต็มที่ เคทีซี พราว ยังคงตั้งเป้าการเติบโตในปี 2568 ที่ 3% โดยมุ่งเน้นลูกค้ากลุ่มอาชีพที่มีเงินเดือนมั่นคงที่มีความสามารถในการชำระหนี้ พร้อมขยายฐานไปยังกลุ่มวิชาชีพเฉพาะ เช่น แพทย์ พยาบาล วิศวกร และผู้เรียนจบใหม่ที่มีงานประจำ รองรับด้วยเกณฑ์รายได้ขั้นต่ำที่ 12,000 บาทต่อเดือน

 

ทั้งนี้ หาก กนง. ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในอนาคต อาจช่วยกระตุ้นรายได้ครัวเรือนและการจับจ่ายได้ดีขึ้น แต่จะไม่กระทบกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของเคทีซี พราว

 

แม้แนวโน้มของสินเชื่อส่วนบุคคลในปี 2568 จะไม่สดใสนัก แต่ก็ยังมีโอกาสสำหรับผู้ประกอบการที่สามารถปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ การให้ความสำคัญกับลูกค้าที่มีคุณภาพ การใช้เทคโนโลยีวิเคราะห์เครดิต (Credit Scoring) อย่างแม่นยำ รวมถึงการปรับผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้า จะเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเดินหน้าต่อได้อย่างมั่นคง

 

นางพิชามน กล่าวด้วยว่าปัจจุบัน AI ได้เข้ามามีบทบาทในการช่วยวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินของลูกค้าในการปล่อยสินเชื่อจากฐานข้อมูลลูกค้าที่มีอยู่เดิมร่วมกับการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่ในการปล่อยสินเชื่อส่งผลให้มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

 

บัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” สมัครออนไลน์ได้ด้วยตนเองผ่าน e-Application เพียงกรอกข้อมูล อัพโหลดเอกสาร และยืนยันตัวตนผ่าน Smartphone อนุมัติไวใน 30 นาที เมื่อสมัครในช่วงเวลา 08.00-19.30 น. สามารถใช้รูดซื้อสินค้า โอนเงิน กดเงินสด และผ่อนสินค้า และสามารถขอวงเงินเพิ่มผ่านแอป KTC Mobile ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผู้สนใจสมัครบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” คลิก https://ktc.today/KTC-PROUD สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ KTC PHONE 02 123 5000 กด 0 กด 2

 

ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” ควรกู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว อัตราดอกเบี้ย 20%-25% ต่อปี