คลัง งัด 2 มาตรการ เร่งปลดล็อกหนี้ครัวเรือน 3.4 ล้านราย ฟื้นศก.
พิชัย เผยแก้หนี้เสียครัวเรือนไทยแล้ว 2 แสนล้านบาท เร่งขยับวงเงินช่วยเหลือจูงใจคนแก้หนี้ เริ่มกลุ่มหนี้ไม่เกินแสนบาท หวังปลดล็อกลูกหนี้ 3.4 ล้านคน ใน 3–6 เดือน
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในโอกาสครบรอบ 150 ปี กระทรวงการคลัง ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ว่า สถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยถือเป็นปัญหาที่ต้องการแก้ไขเร่องด้วย โดยปัจจุบันไทยมีหนี้ครัวเรือนพุ่งสูงราว 16 ล้านล้านบาท จำเป็นต้องได้รับการจัดการอย่างจริงจัง โดยเฉพาะหนี้ที่อยู่ในกลุ่มไม่มีความสามารถในการชำระ
จากข้อมูลพบว่า มีหนี้จำนวน 1.23 ล้านล้านบาท ซึ่งพบว่าเป็นกลุ่มที่ไม่มีความสามารถชำระหนี้ติดค้างเกิน 2-3 ปี หรือ คิดเป็นจำนวน 5.4 ล้านคน ซึ่งกลุ่มนี้เป็นไม่มีความสามารถชำระหนี้ โดยรัฐบาลตั้งเป้าช่วยให้คนกลุ่มนี้กลับเข้าสู่ระบบการเงินใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน
แม้ว่าหนี้ครัวเรือนในเดือนม.ค.และมี.ค.ที่ผ่านมาจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังเป็นปัญหาที่ต้องเร่งจัดการ เพื่อให้คนไทยมีฐานะการเงินที่ดีขึ้น และส่งผลให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าได้อย่างมีทิศทางและแข่งขันกับต่างประเทศได้
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลคงไม่สามารถแก้หนี้ทั้งหมดได้ในทันที เราจะเริ่มจากกลุ่มที่มีหนี้ไม่เกิน 1 แสนบาทก่อน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนี้จากการบริโภค เช่น บัตรเครดิต หรือหนี้ไม่มีหลักประกัน
หนี้กลุ่มนี้มีมูลค่าประมาณ 1.23 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 10% ของหนี้ที่ไม่สามารถชำระได้ ครอบคลุมคนประมาณ 3.4 ล้านราย ถ้าเราช่วยกลุ่มนี้ได้ จะลดจำนวนคนที่มีปัญหาหนี้จาก 5.4 ล้านคน เหลือเพียงราว 2 ล้านคน ซึ่งต้องใช้วิธีการอื่นในการช่วยต่อไป
ทั้งนี้ รัฐบาลได้วางแนวทางการแก้ไขหนี้ครัวเรือนไว้ 2 แนวทาง ได้แก่
สกัดหนี้ดีไม่ให้กลายเป็น NPL ผ่านโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ด้วยการลดดอกเบี้ย และยืดระยะเวลาผ่อนชำระ 3 ปี พร้อมให้วงเงินกู้ระหว่าง 5 พัน–หมื่นบาท โดยมีผู้เข้าโครงการแล้ว 2–3 แสนราย
จัดการกลุ่มหนี้เสียเดิม เช่น หนี้หลักร้อยหรือหลักพันบาท ผ่านธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) ล่าสุดลดลงแล้ว 5 แสนราย โดย ธ.ก.ส. ดูแลไปแล้ว 2.5 แสนราย, ธนาคารออมสินเตรียมช่วยอีก 4 แสนราย และธอส. อีก 6.7 หมื่นราย
อยางไรก็ตาม เมื่อแยกตามประเภทสถาบัน พบว่าหนี้ยังเหลือในธนาคารพาณิชย์ 2.1 หมื่นล้านบาท, ใน SFIs ราว 1.6 หมื่นล้านบาท และในน็อนแบงก์อีก 7–8 หมื่นล้านบาท ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างหารือ ทั้งนี้หากจัดการได้ 3 ล้านราย หรือกว่า 70% ก็เท่ากับให้โอกาสคนกลุ่มใหญ่กลับมาตั้งหลักใหม่ได้
นายพิชัยยังกล่าวด้วยว่า กระทรวงการคลังยังไม่หยุดแค่การปลดหนี้ภาคประชาชน ซึ่งการแก้หนี้ต้องใช้เวลา และวิธีเฉพาะกลุ่ม เชื่อว่าอีก 3–6 เดือน สถานการณ์จะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยยังเดินหน้าส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มค้าขายรายย่อย ผ่านโครงการของธนาคารออมสิน ให้กู้ 1–2 หมื่นบาท โดยมีดอกเบี้ยต่ำกว่าสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ (ราว 10%) หากจ่ายตรงเวลา อาจเพิ่มวงเงินเป็น 5 หมื่นบาท


