คลัง เตรียมอัด 5 แสนล้าน กระตุ้นเศรษฐกิจ ฝ่าวิกฤตภาษีสหรัฐ
พิชัย เผยรัฐเตรียมงบ 5 แสนล้าน กระตุ้นลงทุน-บริโภค เร่งฟื้นเศรษฐกิจหลัง IMF หั่นจีดีพีไทยเหลือ 1.8% ไม่ห่วงแม้หนี้สาธารณะพุ่งแตะ 80% จีดีพี
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลเตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ด้วยงบประมาณกว่า 5 แสนล้านบาท เพื่อรับมือภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐอเมริกา โดยเบื้องต้นจะเน้นกระตุ้นการลงทุนและบริโภคในประเทศ รวมถึงจัดสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟท์โลน) ให้กับผู้ประกอบการและประชาชน
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อกำหนดรายละเอียดและแหล่งที่มาของงบประมาณ ซึ่งอาจมีการกู้เงินเพิ่มเติมหากจำเป็น
โดยล่าสุด กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2568 เหลือเพียง 1.8% จากเดิมที่ประเมินไว้ระหว่าง 2.5-3.0% อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังยังคาดว่าไตรมาสแรกของปี 2568 เศรษฐกิจไทยอาจฟื้นตัวแตะระดับ 3% หากมาตรการกระตุ้นสามารถดำเนินการได้อย่างทันท่วงที
เพื่อให้เศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้ต่อเนื่อง รัฐบาลต้องเร่งฟื้นฟูภาคส่งออกที่ได้รับผลกระทบ พร้อมเดินหน้าโครงการขนาดใหญ่ที่สามารถสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจได้จริง โดยเฉพาะในกลุ่มประชาชน เอสเอ็มอี และภาคเอกชน
เพื่อรักษาการเติบโต รัฐต้องเร่งแก้ปัญหาการนำเข้า-ส่งออก โดยเฉพาะการเจรจาการค้ากับสหรัฐ พร้อมออกมาตรการกระตุ้นการบริโภค การลงทุน และการสร้างงาน เพื่อชดเชยผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา โดยส่วนตัวเห็นว่าอาจต้องใช้เม็ดเงินไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท
สำหรับ แนวทางการใช้งบประมาณอาจประกอบด้วย การปรับแผนงบรายจ่ายปี 2568/2569 การปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำผ่านธนาคารของรัฐ รวมถึงการจัดหาเงินกู้นอกงบประมาณและในประเทศ ซึ่งยังมีสภาพคล่องเพียงพอ
ทั้งนี้ หากดำเนินมาตรการดังกล่าว อาจส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะเพิ่มจากปัจจุบัน 64% เป็น 80% ของจีดีพี แต่รัฐบาลย้ำว่า ประเด็นสำคัญไม่ใช่เพียงระดับหนี้ แต่คือเงินถูกนำไปใช้เพื่ออะไร หากสามารถขยายขนาดเศรษฐกิจได้ สัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีก็จะลดลงในระยะยาว
นายพิชัยยังกล่าวถึง บทเรียนจากวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 และโควิด-19 ว่า แม้ไทยเผชิญวิกฤตรุนแรง แต่ก็สามารถผ่านพ้นมาได้ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน “ครั้งนี้ก็เช่นกัน วิกฤตจากภาษีทรัมป์ เราจะผ่านมันไปด้วยกันอีกครั้ง
ทั้งนี้ รัฐบาลคาดว่าจะสามารถสรุปมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งหมดได้ภายในเร็ว ๆ นี้ เพื่อเริ่มดำเนินการให้ทันต่อสถานการณ์ และฟื้นเศรษฐกิจให้กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง
ด้าน นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ฐานะการคลังของประเทศไทยในปัจจุบันยังคงมีความเข้มแข็ง และพร้อมที่จะดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ด้วยงบประมาณกว่า 5 แสนล้านบาท เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว รวมทั้งผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเน้นการกระตุ้นการบริโภคในระยะสั้น ซึ่งสามารถเห็นผลได้เร็ว แต่ในขณะเดียวกัน รัฐบาลก็จะต้องมุ่งเน้นการกระตุ้นการลงทุนในระยะยาว เพื่อให้สามารถปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีความยืดหยุ่นและสามารถแข่งขันได้ในอนาคต
ส่วนในเรื่องของแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ นายลวรณกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้สรุปแน่ชัดว่าจะใช้การกู้เงินเพิ่มเติมหรือไม่ เนื่องจากรัฐบาลยังมีทางเลือกในการดำเนินการหลายวิธี ทั้งการปรับเกลี่ยงบประมาณที่มีอยู่ รวมถึงงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 150,000 ล้านบาทที่ยังเหลืออยู่จากแผนเดิมที่สามารถทบทวนและนำมาใช้ได้ ซึ่งการใช้สถาบันการเงินของรัฐในการปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สามารถเติมเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้
ทั้งนี้ ความชัดเจนในการเลือกโครงการที่จะนำมาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจะปรากฏขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2568 โดยรัฐบาลต้องศึกษาผลกระทบจากนโยบายของสหรัฐฯ ให้รอบคอบ และจะต้องรอดูรายละเอียดเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างประเทศในช่วงนั้น ซึ่งหากรัฐเลือกที่จะกู้เงิน 500,000 ล้านบาท ก็อาจทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 3% โดยปัจจุบันหนี้สาธารณะของไทยอยู่ที่ 64.21% ของจีดีพี
สำหรับการขยายเพดานหนี้สาธารณะจาก 64% เป็น 75-80% ว่า การขยายเพดานหนี้ไม่ได้เป็นประเด็นที่สำคัญที่สุด เพราะหลายประเทศที่มีหนี้สาธารณะสูงถึง 80-100% ก็สามารถบริหารจัดการหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งที่สำคัญกว่าคือ การที่รัฐบาลจะนำเงินที่กู้มาไปใช้ในโครงการใด และต้องมีแผนการบริหารจัดการหนี้ที่ชัดเจน รวมถึงต้องมั่นใจว่าเงินที่กู้มาจะสร้างผลตอบแทนที่ดีต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว โดยเฉพาะในเรื่องของความเชื่อ


