THE KLINIQUE มองตลาดความงามคึกคัก เศรษฐกิจไม่ดี แต่คนไม่หยุดสวย
THE KLINIQUE เผย “เศรษฐกิจไม่ดี แต่คนก็ไม่หยุดสวย” ตั้งเป้ารายได้ 3,000 ล้าน ส่วนแผนปี 2568 ทุ่ม 300 ล้านบาท ปักธงเปิด 10 สาขาดึงลูกค้ากลุ่มใหม่
KEY
POINTS
- นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ 16 ปี THE KLINIQUE “แม้เศรษฐกิจจะขึ้น ๆ ลง ๆ แต่คนไม่หยุดสวย”
- ปี' 68 ทุ่มอีก 300 ล้านบาท ลุยเปิด 10 สาขา
- มองเทรนด์คนไทยสวยแบบติดแกลม ตลาดศัลยกรรมและความงามอีก 7 ปีมูลค่า 1.3 แสนล้าน
แม้เศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่ความต้องการดูแลตนเองของผู้คนกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นี่คือภาพสะท้อนของตลาดศัลยกรรม และความงามในประเทศไทย ที่คาดว่าจะมีมูลค่าถึง 76,500 ล้านบาทในปี 2568
ธุรกิจศัลยกรรม และเสริมความงาม ในไทยโตขึ้นทุกปี แม้การแข่งขันจะรุนแรงขึ้นก็ตาม ปัจจุบัน 85% ของตลาดอยู่ในมือคลินิกความงาม แต่แนวโน้มเริ่มเปลี่ยนไป เมื่อโรงพยาบาลเริ่มเข้ามาแชร์ตลาดมากขึ้น มีสัดส่วนเพิ่มมาอยู่ที่ 15% จากจำนวนลูกค้าชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น รวมถึงจุดแข็งด้านมาตรฐานการรักษา และความมีชื่อเสียงของศัลยแพทย์
จากข้อมูลนิติบุคคลในธุรกิจความงาม (ณ วันที่ 31 มกราคม 2568) พบว่า มีธุรกิจความงามในประเทศไทยจำนวน 6,621 ราย ทุนจดทะเบียน 190,160 ล้านบาท ทั้งบริษัทจำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล บริษัทมหาชนจำกัด
ขณะที่สถิติย้อนหลัง 5 ปี พบว่ามีคลินิกความงามเกิดใหม่จำนวนมาก ในปี 2567 เพียงปีเดียว มีการจดทะเบียนธุรกิจด้านความงามกว่า 1,135 ราย สะท้อนว่าตลาดนี้ยังคงคึกคัก และเติบโตอย่างต่อเนื่อง
คาดอีก 7 ปีตลาดศัลยกรรมความงามมูลค่า 1.3 แสนล้าน
นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ หมอเติ้ล ฉายภาพรวมถึงประเด็นนี้ว่า หากย้อนกลับไปเมื่อ 16 ปีก่อน คลินิกความงามไม่ได้มีจำนวนมากขนาดนี้
มาถึงตอนนี้ตลาดโตแรง โดยตลาดความงามที่ใหญ่สุดยังเป็นอเมริกา รองลงมาคือ เอเชียแปซิฟิก ที่ในปี 2563 มีมูลค่า 678,460 ล้านบาท ( 20,000 ล้านดอลล่าร์ยูเอส) คาดว่าในปี 2570 จะโตเป็น 3 เท่า ด้วยมูลค่าสูงถึง 1.9 ล้านล้านบาท ( 55,900 ล้านดอลล่าร์ยูเอส) โดยมี 3 ตลาดขับเคลื่อน คือ เกาหลีใต้ ไทย และอินโดนีเซีย ตามลำดับ
ปัจจุบันตลาดของประเทศไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2568 คาดว่ามูลค่าตลาดรวมจะสูงถึง 76,500 ล้านบาท เติบโตขึ้น 2.8% จากปีก่อนหน้า และคาดว่าอีก 7 ปีข้างหน้าอาจจะเติบโตมากขึ้นอีก 3 เท่า เป็น 130,000 ล้านบาท
จากข้อมูลที่พบ สะท้อนว่าธุรกิจศัลยกรรม และเสริมความงามยังคงเติบโตอย่างดี ประกอบกับพฤติกรรมของผู้บริโภคได้เปลี่ยนไป จากการแสวงหาผลลัพธ์รวดเร็ว มาเป็นการมองหาผลลัพธ์จากความงามที่ยั่งยืน และใส่ใจสุขภาพของตนเองในระยะยาว
หมอเติ้ล ยังฉายภาพอีกว่า ผู้บริโภคในปัจจุบันให้ความสำคัญกับการประเมินคลินิกก่อนการรับบริการอย่างรอบด้าน ทั้งในแง่ความปลอดภัยของบริการ ความเชี่ยวชาญของแพทย์ อุปกรณ์ที่ทันสมัย และความรู้สึกเชื่อมั่นในแบรนด์ ซึ่งทั้งหมดล้วนมีผลต่อความจงรักภักดีของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์
“การรักษาคุณภาพ และเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค จึงเป็นกุญแจสำคัญ”
ลงทุนกับเครื่องมือแพทย์มาตลอด 16 ปี ส่งผลให้รายได้ถึง 3 หมื่นล้าน
หมอเติ้ลยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ตลอดระยะเวลา 16 ปีของการทำธุรกิจ ได้ลงทุนกับนวัตกรรมและเครื่องมือแพทย์ไปแล้วกว่า 1,500 ล้านบาท รวมถึงเรื่องของการพัฒนา อบรมแพทย์ ทำให้สามารถให้บริการลูกค้าได้ครอบคลุม สร้างแบรนด์ดิ้ง และความน่าเชื่อถือในการให้บริการ จึงส่งผลให้รายได้ในปีที่ผ่านมาทำได้ถึง 30,000 ล้านบาท เติบโต 30% มากกว่าตลาด และยังถือเป็นผู้นำอันดับ 1 ในแง่รายได้อีกด้วย
ทั้งนี้รายได้หลัก 80% มาจากการให้บริการทางด้านผิวหนัง ส่วนที่เหลือเป็นการให้บริการดูแลรูปร่าง ศัลยกรรม และ wellness
สิ่งที่น่าสนใจคือ “เลเซอร์กำจัดขน” เป็นบริการที่เติบโตมากที่สุดถึง 30% จากฐานสัดส่วนรายได้ในอดีต 5-7% เท่านั้น โดยลูกค้าหลักยังคงเป็นเพศหญิง 70% ที่นิยมใช้บริการเลเซอร์กำจัดขนรักแร้ บิกินี และขา ขณะที่สัดส่วนลูกค้าผู้ชาย 30% ใช้บริการกำจัดหนวดเครา รักแร้ และบิกินี
กลุ่มลูกค้าเริ่มอายุน้อยลง
หมอเติ้ลมองว่าเทรนด์ความงาม เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ อย่างแรกคือมองเห็นว่ากลุ่มเพศชายสนใจที่จะดูแลตนเองมากขึ้น ขณะเดียวกัน ผู้เข้ารับบริการเริ่มมีสัดส่วนอายุที่น้อยลง
"ซึ่งหมายความว่า เมื่อก่อนคนที่เป็นลูกค้าจะเป็นคนวัยทำงานซะส่วนใหญ่ แต่ตอนนี้เด็ก ๆ นักศึกษาก็ให้ความสนใจในเรื่องการดูแลตนเอง"
ขณะเดียวกัน เทรนด์ความงามตอนนี้ผู้คนเน้นความสวยแบบธรรมชาติ ซึ่งเรียกว่า Biostimulator โปรแกรมที่เน้นการกระตุ้นร่างกายเกิดกระบวนการรักษา และซ่อมแซมโครงสร้างต่าง ๆ ที่มีความเสื่อมโทรม จากวัย และปัจจัยภายนอกให้เซลล์กลับมาทำงานเต็มประสิทธิภาพได้ดีอีกครั้งด้วยตนเอง ทั้งยังเน้นผิวเรียบสม่ำเสมอ ตึงกระชับ ผิวสุขภาพดี มีความโกลว์
จากคลินิกรักษาสิวที่ลงทุนกับเพื่อน สู่ 80 สาขาอีกไม่ไกล
หากใครรู้จักหมอเติ้ล จะรู้ดีว่าหมอเติ้ลเริ่มต้นธุรกิจความงามมาตั้งแต่ปี 2552 ร่วมลงทุนกับเพื่อนจุฬาฯ เปิดคลินิกย่านสยามสแควร์เพื่อรักษาโรคผิวหนัง และนำเข้าเครื่องฉายแสงจากต่างประเทศเพื่อรักษาสิวเป็นรายแรก ๆ ก่อนจะขยายให้บริการที่กว้างขึ้น จึงทำให้ THE KLINIQUE โดดเด่นเรื่องเครื่องมือแพทย์เกรดเดียวกันกับโรงพยาบาลใหญ่ ๆ
ปักธงขยายสาขา 10 แห่ง
มาถึงวันนี้ หมอเติ้ลพร้อมทีมงาน ตั้งเป้าหมายการเติบโตในปี 2025 ไว้ที่ 25-30% และจะมีการเปิดสาขาใหม่ ราว ๆ 10 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เช่น เซ็นทรัล เชียงราย ซึ่งมีลูกค้าชาวเมียนมาและเกาหลีใต้จำนวนมาก รวมถึงเซ็นทรัล สุราษฎร์ธานี ที่มีนักท่องเที่ยวหนาแน่น
โดยใช้งบลงทุนโดยรวมประมาณ 300 ล้านบาท ใช้จ่ายกับแต่ละสาขาประมาณ 30 ล้านต่อสาขา ทั้งการตกแต่งร้าน การนำเทคโนโลยีมาใช้ ทำให้ปีนี้ บริษัท จะเปิดให้บริการที่ 82 สาขา
รวมทั้งตั้งเป้าเพิ่มการใช้จ่ายต่อหัวมากขึ้นจากฐานลูกค้าในมือ 3-4 แสนราย เพราะปัจจุบันลูกค้าคนไทยใช้จ่ายราวๆ 1.8 หมื่นบาทต่อคน/ครั้ง ขณะที่ลูกค้าต่างชาติ มีการใช้จ่ายต่อหัวต่อครั้งสูงกว่าลูกค้าคนไทย 2 เท่า 36,000 บาทต่อครั้ง
“ที่ผ่านมายังไม่ได้ทำการตลาดกับชาวต่างชาติมากนัก ทำให้สัดส่วนลูกค้าต่างชาติอยู่ที่ประมาณ 10-12% ซึ่งก็ตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าต่างประเทศให้เพิ่มขึ้นเป็น 15-20% โดยเฉพาะ CLMV อินโดนีเซีย และจีน ให้มากขึ้นภายใน 2 ปี ซึ่งลูกค้าอินโดนีเซีย ถือเป็นตลาดมาแรงอันดับ 1 ที่เข้ามาทำศัลยกรรมในประเทศไทย ถือเป็นตลาดที่น่าจับตามอง”
ใช้กลยุทธ์ Music Marketing
โดยจะใช้กยุทธ์ Music Marketing มาสร้างความแตกต่าง เพื่อสื่อสารไปยังผู้บริโภคในเรื่องบริการกำจัดขน ด้วยการสร้างเพลง "ถ้าพี่ไม่ชัวร์ หนูอยากโดน (เล)" โดยให้ “เพลงนำแบรนด์" ซึ่งมีจุดเด่น คือ แนวเพลง ลูกทุ่งติดแกลม ที่สนุก เร้าใจ สร้างสรรค์ ถูกจริตคนไทยโดยเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์
และเนื้อเพลงเป็นศิลปะของการพูดเรื่องขนให้เข้าไปในชีวิตคนไทยได้อย่างแนบเนียนเป็นธรรมชาติโดยเล่นกับเส้นบางๆ ของความสนุกปนทะลิ่งนิดๆ ที่คนไทยชื่นชอบ
อย่างไรก็ตาม เมื่อถามหมอเติ้ล ถึงสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน กระทบถึงธุรกิจศัลยกรรมความงามมากน้อยเพียงใด?
หมอเติ้ลบอกว่า มีกระทบบ้างกับบางแบรนด์ที่ขาดสภาพคล่องทางการเงิน ด้วยจำนวนลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการด้วย จึงเป็นสาเหตุทำให้บางคลินิกต้องปิดตัวลงไป แต่ไม่ได้มาก เพราะขณะเดียวกันก็มีคลินิกใหม่ ๆ เปิดขึ้นมา
จากปัจจุบันคลินิกความงามมีอยู่ราว 2,500 โลเคชั่นทั่วประเทศ หรือกว่า 2,000 แบรนด์ ซึ่งมีทั้งแบรนด์ที่เป็นเชนมีหลายสาขา และแบบโลคอล ที่ 1 แบรนด์เปิดเพียง 1 สาขา ซึ่งช่วงหลังโควิดมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาค่อนข้างมาก แต่ปัจจุบันก็ปิดตัวไปไม่น้อย จำนวนรวมจึงค่อนข้างทรงตัว
ทั้งนี้การที่คลินิกจะอยู่รอด ต้องกลับมาดูที่คุณภาพ แต่เมื่อดูภาพรวมอุตสาหกรรมแล้ว ยังมองว่าธุรกิจศัลยกรรมและความงาม ยังมีทิศทางที่ดี เพราะคนส่วนใหญ่เริ่มให้ความสำคัญกับการพัฒนาตนเอง ดูแลบุคลิกภาพตนเอง ส่วนคนไทยถือเป็นประเทศที่เน้น "สวยแบบติดแกลม" ความสวยในแบบผิวคุณภาพดี ขณะที่ต่างชาติก็ยังให้ความสนใจมาใช้บริการในไทย


