เศรษฐา แนะเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะ ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน พลิกฟื้น ศก. ไทยโตยาว
เศรษฐา ทวีสิน แนะรัฐบาลขยับเพดานหนี้สาธารณะ เพื่อรองรับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ พร้อมปรับภาษีดึงการลงทุนต่างชาติ-เตรียมความพร้อมอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ชี้ช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันเศรษฐกิจไทยระยะยาว
ตามที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดการณ์การเติบโตของผลผลิตมวลรวมในประเทศ (GDP) ในปี 2567 และ 2568 อยู่ที่ 2.5% และ 2.8% ตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่าหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียน เช่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา การขยายตัวที่ต่ำนี้เป็นผลจากปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน ทั้งปัญหาภายในประเทศ การเมือง ภูมิรัฐศาสตร์ และสงครามการค้า สะท้อนว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ไม่เคยมีมาก่อน
มุมมอง “เศรษฐา” ชูขยายเพดานหนี้เพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน
นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ได้สะท้อนถึงสถานการณ์เศรษฐกิจไทย ผ่านรายการ “เนชั่นอินไซด์” ว่า สถานการณ์เศรษฐกิจที่แย่ลง เกิดจากหลายปัจจัย ทั้งการเมือง ความขัดแย้งภูมิศาสตร์ และผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 รวมถึงการรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ของ นายโดนัลด์ ทรัปม์ ทำให้ไม่มีเม็ดเงินลงทุนใหม่เข้ามา
เขาชี้ว่า การขยายเพดานหนี้สาธารณะเป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว โดยการนำเงินไปลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้ง
"การขยายเพดานหนี้นั้นทำได้ แต่ต้องชัดเจนว่าจะนำเงินไปทำอะไร การใช้เงินให้เกิดประโยชน์สูงสุดสำคัญมากกว่าการเพิ่มหนี้เพียงเพื่อเพิ่มหนี้"
ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มความสามารถการแข่งขัน
นายเศรษฐาเน้นย้ำว่า การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานจะทำให้ประเทศไทยมีศักยภาพในการสร้างมูลค่าเพิ่มจากอุตสาหกรรมสมัยใหม่และการเกษตร โดยเฉพาะการพัฒนาเทคโนโลยีดาต้าเซนเตอร์ที่มีความสำคัญในการเติบโตของอุตสาหกรรมในอนาคต นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการขยายเพดานหนี้เพื่อการลงทุนในโครงการเหล่านี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในภูมิภาคอาเซียน
"การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้จะทำให้ไทยมีศักยภาพในการแข่งขันสูงขึ้น และยังช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในระยะยาว"
มุมมองต่อการขยายเพดานหนี้และความท้าทายทางสังคมและประชากร
การขยายเพดานหนี้สาธารณะยังคงเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ นายเศรษฐาเชื่อว่า หากการขยายเพดานหนี้มีแผนการใช้เงินที่ชัดเจนในการลงทุนในโครงการที่สร้างผลตอบแทนสูง จะสามารถช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตและลดภาระหนี้สาธารณะในอนาคตได้
เขายังกล่าวถึงความท้าทายจาก “สังคมสูงวัย” และการลดลงของจำนวนประชากร ที่อาจกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว ดังนั้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานจึงมีความสำคัญไม่เพียงแต่กระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ยังเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตของประเทศ
ปรับโครงสร้างภาษีและการลงทุนในอุตสาหกรรมสมัยใหม่
นายเศรษฐายังแนะนำถึงการปรับโครงสร้างอัตราภาษีให้เหมือนกับประเทศสิงคโปร์ เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ และเพิ่มขีดความสามารถของคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถสูง เข้ามาในไทย ทำให้เกิดการเคลื่อนย้านแรงงาน ซึ่งมีผลต่อจีดีพีประเทศ นอกจากนี้ยังต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สนามบินและการเดินทาง เพื่อรองรับการเติบโตในภาคการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมใหม่ๆ
ท่องเที่ยว: เครื่องยนต์สำคัญของเศรษฐกิจไทย
การท่องเที่ยวเป็นอีกหนึ่งภาคส่วนสำคัญที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย นายเศรษฐาเสนอว่า การพัฒนาเมืองรอง เหมือนในต่างประเทศ เช่น ฝรั่งเศษ อิตาลี และสเปน ที่มีไฟลต์บินต่อเพื่อไปเที่ยวในเมืองต่างๆ หรือมี “รถไฟฟ้า” ที่สะดวกสบายในการเดินทางเชื่อมต่อเมือง และการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานในเมืองเหล่านี้จะช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว
การท่องเที่ยวเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญในระยะยาว ไม่ต้องพูดถึงเชียงใหม่ หัวหิน ภูเก็ต พัทยา เพราะเป็นจังหวัดที่มีคนไปอยู่แล้ว แต่ที่น่าให้ความสำคัญคือ เมืองรอง ตอนผมเป็นนายกฯ ก็เพิ่งรู้ว่ามีแต่สนามบินเล็ก หากสามารถขยายรันเวย์ได้ จะสามารถนำเครื่องใหญ่ลงได้ หรือถ้ามีรถไฟฟ้าความเร็วสูง การเดินทางก็ไม่ต้องเร่งกลับ สามารถอยู่ได้ยาวขึ้น จะเห็นว่าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญ
"การลงทุนในสนามบินและโครงสร้างพื้นฐานจะช่วยขยายการท่องเที่ยวในเมืองรอง และสามารถเพิ่มระยะเวลาในการอยู่ของนักท่องเที่ยว ซึ่งส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ"
แนะปั้นสุวรรณภูมิเป็น "Transit Hub" เชื่อมโยงเศรษฐกิจไทยสู่โลก
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้ขยายพื้นที่และรองรับผู้โดยสารเพิ่มจาก 65 ล้านคนเป็น 150 ล้านคนต่อปี ซึ่งเป็นความสำเร็จสำคัญที่เปิดโอกาสให้สามารถพัฒนาสุวรรณภูมิให้กลายเป็น "Transit Hub" ของภูมิภาค พร้อมเป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้า อาทิ คาร์โก้, Cold Chain, Storage, และบริการ Private Jet รวมทั้งเปิดโอกาสในการพัฒนาศูนย์ซ่อมที่หลายสายการบินสนใจ สร้างอาชีพและโอกาสให้กับคนรุ่นใหม่
การพัฒนาในครั้งนี้จำเป็นต้องมีการลงทุนเพิ่มขึ้น แม้ว่าการลงทุนในปัจจุบันจะมีสัดส่วนเพียง 20% ซึ่งถือว่าน้อยมาก หากประเทศไทยต้องการยกระดับจีดีพีและเติบโตเทียบเท่ากับประเทศเพื่อนบ้านที่มีการลงทุนสูง เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม
ทั้งนี้ไทยยังคงได้รับการยกย่องให้เป็น "TOP 5" จุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวสำคัญของโลก โดยคาดว่าผู้เยี่ยมเยือนจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จึงเป็นโอกาสในการลงทุนพัฒนาสนามบินในเมืองรอง เช่น กระบี่ พังงา และขยายสนามบินภูเก็ต เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวในอนาคตและเสริมความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของประเทศ


