posttoday

เปิดใจ “วินท์รดิศ” ประธานทรูไอดี เหตุใดจึงฟ้อง “กสทช.พิรงรอง”

20 กุมภาพันธ์ 2568

“วินท์รดิศ กลศาสตร์เสนี” ประธาน ทรูไอดี เปิดใจเหตุฟ้อง “กสทช.พิรงรอง” ต้องการยืนยันว่า “ไม่ผิด” สร้างความเชื่อถือต่อคู่ค้า และผู้บริโภค เผยพร้อมอยู่ในกติกาหากมีกฎหมายคุม OTT

ไม่ปล่อยให้รอนาน หลังจากเมื่อวันที่ 6 ก.พ.2568 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีคำพิพากษา คดีระหว่างฝ่ายโจทก์ คือ บริษัท ทรูดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด หรือ ทรู ไอดี และจำเลย คือ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านกิจการโทรทัศน์ ตัดสินจำคุก กสทช.พิรงรอง 2 ปี ไม่รอลงอาญา เหตุมีเจตนาแกล้งทำให้ ทรู ดิจิทัล ไอดี เสียหาย

ล่าสุด วินท์รดิศ กลศาสตร์เสนี  ประธานทรูไอดี เปิดใจถึงข้อพิพาทดังกล่าวว่า “ผมเองก็เป็นคนดูภาคธุรกิจ  ผมเชื่อว่าไม่ต้องเอาสตาร์ทอัพหรอก ไม่ว่าธุรกิจไหนก็ไม่อยากจะมีเรื่องหรือมีข้อพิพาทกับผู้คุมกฎ  หรือผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองอยู่แล้ว ผมว่าไม่มีใครอยากมีอยู่แล้ว”   

ความเป็นจริงคือ เมื่อเริ่มได้เอกสารจากคู่ค้า ยอมรับว่า ตกใจ จึงทำหนังสือไปถึง กสทช.ถึง 2 รอบ แต่ไม่ได้รับการตอบกลับแต่อย่างใด เมื่อเริ่มมีผลกระทบกับธุรกิจ ในฐานะที่มีลูกค้ากว่า 30 ล้านคน ในทุกเดือน รวมถึงคู่ค้าของทรูไอดี จึงต้องการความมั่นใจว่า ทรูไอดี ไม่ได้ทำผิดในเชิงกฎหมาย “แน่นอนว่า ความเชื่อถือ  trust เป็นสิ่งสําคัญในการสร้างทําธุรกิจ   เราก็เลยจําเป็นที่จะต้องเอาเข้าสู่การฟ้องร้อง”  

จริงๆ  อย่างที่ผมเรียน มันไม่ได้เป็นสิ่งที่เราอยากจะทํา   แต่เรามองว่า เรามี obligation ในการเป็นแพลตฟอร์มต่อผู้บริโภค และต่อคู่ค้าเรา  ทําให้เราต้อง take action ตรงนั้นไป ส่วนว่าเราเจาะจงอะไรยังไงไหม  ผมว่าอย่างงี้ดีกว่า  ตอนนี้ process ที่อยู่ในศาล   แล้วก็สิ่งที่มีการพิจารณาผลคดีไปแล้ว   แต่ fact คือว่า  ตอนที่เราได้รับเอกสารตัวนี้  มีวิธีเดียวที่จะทําได้ คือเราก็ฟ้องคนที่ลงนาม

วินท์รดิศ เปิดเผยว่า วันนั้นคนลงนาม คือเป็นรักษาการรองเลขาฯ ของ กสทช. แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการในการสืบพยานในส่วนของศาล ปรากฏว่าคนที่ลงนามไม่ได้เป็นคนสั่งการ  บริษัทเลยต้องเปลี่ยนจากการที่ฟ้องคนนั้นไปเป็นการฟ้องคนที่สั่งการ “ก็จะเห็นเลยว่า fact ไม่ใช่สิ่งที่เรา pinpoint คน  แต่คือการทําตามขั้นตอน ”

วัตถุประสงค์ของทรูไอดี  คือการที่อยากจะสร้างสรรค์ร่วมมากกว่า สิ่งที่ทําวันนี้คือการที่แค่ต้องการเน้นว่า ทรูไอดี ไม่ผิด แค่ต้องการเน้นว่า ไม่ผิด อยากจะให้มีการแข่งขันที่เท่าเทียม ธุรกิจ OTT  ยังไม่มีกฏหมายครอบคลุม แต่สิ่งที่ค่อนข้างยิ่งสะท้อนความเป็นจริงมากก็คือว่า พอไม่มีการควบคุม การที่ทรูไอดีเป็นบริษัทไทย ทรูไอดีเองก็อยากอยู่ภายใต้ความคุ้มครอง แต่ก็ควรจะมีความคุ้มครองที่มีความชัดเจน   

ธุรกิจ OTT ทั้งหมด 80-90%  ส่วนใหญ่คือ advertising base ถามว่าที่เราทําก็ไม่ต่างกันเท่าไร   แต่วัตถุประสงค์เราค่อนข้างชัดเจน

สิ่งที่ทรูไอดีแตกต่างชัดเจนคือ ถ้า OTT ต่างชาติ ส่วนใหญ่เขามีวัตถุประสงค์ชัดเจน ก็คือถ้าไม่เป็นโฆษณา subscription เขาใช้โมเดล คือ สามารถเอาคอนเทนต์ของเขา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเจ้าของคอนเทนต์เอง  หนึ่งเซอร์วิสหนึ่งคอนเทนต์สามารถใช้ได้กับ 10 ประเทศ 100 ประเทศ ขณะที่ ทรูไอดีต้องการให้ประชากรไทยทั้ง 70 ล้านคน  สามารถเข้าถึงคอนเทนต์ที่มีคุณภาพได้ โดยที่ไม่ต้องเสียเงิน  

นั่นคือวัตถุประสงค์หรือวิชั่นแรก ของ ทรูไอดี เพราะฉะนั้นการที่มี Free Tier คือ การที่มีโฆษณา   วัตถุประสงค์ คือ ต้องการให้คนเข้าถึงเยอะที่สุด  แล้วก็สะท้อนถึงทําไม ทรูไอดี ถึงเป็นแพลตพอร์ม ที่มีคนดูเยอะ เพราะไม่มีการคิดเงิน เพราะคิดเงินไปคิดที่ฝั่งโฆษณา  ที่แบรนด์  ที่ เอเจนซี่ แทน  แต่ทรูไอดีก็มีทางเลือกให้กับผู้บริโภคที่ไม่อยากดูโฆษณาสามารถ subscribe ได้ 

วันนี้ ความคลุมเครือของการคุ้มครอง ทําให้การคุ้มครองไม่มีความเท่าเทียม เพราะว่าบริษัทต่างชาติ แพลตฟอร์มต่างชาติ ไม่ได้อยู่ในการคุ้มครอง แพลตฟอร์มไทยมองว่า วันนี้การคุ้มครองก็ไม่ได้ เอื้อกับธุรกิจเลย ดังนั้นต้องกลับมาดูว่า ประเทศและเจ้าของนโยบาย ผู้คุมกฎทั้งหลาย มองธุรกิจนี้สําคัญขนาดไหน ทรูไอดีเองในฐานะที่เป็น แพลตฟอร์ม สตาร์ทอัพ ใหญ่อันดับต้นๆของเมืองไทย ยินดีและพร้อมที่จะเข้าไปร่วมเสวนาให้ความรู้ ให้จุดที่สมดุลในการได้รับความสนับสนุนอย่างแน่นอน

ข่าวล่าสุด

ไทยแชมป์ภูมิภาค ใช้ AI เพื่อความยั่งยืน ลดต้นทุน-รับมือโลกรวน