ธุรกิจดาวเทียม สื่อสาร ปรับกลยุทธ์ รับศึก LEO ผลวิจัยชี้ตลาดเน็ตบ้านหดตัว
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุ ปี 68 อินเทอร์เน็ตประจำที่หดตัว ผู้บริโภคใช้งานลดลง เทคโนโลยีดาวเทียม LEO อาจผงาดทัดเทียมเน็ตภาคพื้นดิน เอกชนเร่งปรับแผนรับศึก จับมือเป็นพันธมิตร
KEY
POINTS
- ดาวเทียม LEO อาจผงาดทัดเทียมเน็ตภาคพื้นดิน
- เอกชนปรับแผนรับศึก สู่พันธมิตรดาวเทียม LEO
- คาดปี 68 เน็ตประจำที่หดตัว ผู้บริโภคใช้งานลดลง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธุรกิจอินเทอร์เน็ตประจำที่ กำลังเผชิญความเสี่ยงจากการถูกแทนที่ด้วยอินเทอร์เน็ตเคลื่อนที่ ที่มาจากผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ ทำให้ธุรกิจอินเทอร์เน็ตภาคพื้นดินเผชิญกับแนวโน้มรายได้ที่ลดลง เนื่องจากลูกค้าบางส่วนอาจเลือกลดค่าใช้จ่ายโดยยกเลิกการใช้งานอินเทอร์เน็ตประจำที่และหันไปใช้อินเทอร์เน็ตเคลื่อนที่แทน
ขณะเดียวกัน ดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) ยังอาจกลายเป็นตัวท้าทายหลักต่ออินเทอร์เน็ตภาคพื้นดิน เนื่องจากมีคุณภาพการสื่อสารที่ใกล้เคียงกัน และหากค่าบริการของ LEO ลดลงจนเทียบเท่าหรือต่ำกว่าอินเทอร์เน็ตภาคพื้นดิน จะทำให้ LEO กลายเป็นคู่แข่งสำคัญที่สามารถแทนที่อินเทอร์เน็ตภาคพื้นดินได้
ที่สำคัญการให้บริการอินเทอร์เน็ต และดาวเทียมผู้ประกอบการในประเทศไทย ต้องอาศัยการประมูลคลื่นความถี่และใบอนุญาตใช้วงโคจรดาวเทียมที่จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ซึ่งการจัดสรรคลื่นความถี่ และวงโคจรดาวเทียมนั้นกำหนดขีดความสามารถในการให้บริการของผู้ประกอบการ
หากประมูลไม่สำเร็จก็จะกระทบต่อการให้บริการได้ นอกจากนี้ สำหรับธุรกิจดาวเทียมยังต้องมีการรักษาสิทธิเข้าใช้วงโคจรกับสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) อีกด้วย รวมถึงรายได้จากธุรกิจดาวเทียมสื่อสารจากต่างประเทศอาจมีความผันผวนสูงเนื่องจากความไม่แน่นอนของค่าเงิน ซึ่งส่งผลต่อรายได้เมื่อแปลงกลับเป็นสกุลเงินไทย
ดาวเทียม LEO เปลี่ยนเกมบรอดแบนด์
ดาวเทียม LEO มีคุณสมบัติโดดเด่น คือโคจรในระดับต่ำกว่าดาวเทียมประจำที่ GEO (Geostationary Orbit) ทำให้มีการหน่วงเวลา (latency) ที่ต่ำลง ซึ่งช่วยให้การสื่อสารผ่านดาวเทียมมีความเร็วสูงขึ้นและเหมาะสมกับการใช้งานที่ต้องการความหน่วงเวลาต่ำ เช่น การเล่นเกมออนไลน์ การประชุมทางวิดีโอ และการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในพื้นที่ห่างไกล
การขยายบริการสื่อสารในพื้นที่ห่างไกลได้ดีกว่า เนื่องจากดาวเทียม LEO มีข้อได้เปรียบในการครอบคลุมพื้นที่ที่ยากต่อการเข้าถึงผ่านโครงข่ายพื้นฐาน เช่น ในพื้นที่ชนบทหรือพื้นที่ที่การติดตั้งโครงข่ายไฟเบอร์ออปติกเป็นไปได้ยาก การให้บริการอินเทอร์เน็ตและโทรคมนาคมผ่านดาวเทียม LEO สามารถเข้าถึงตลาดใหม่ๆ และเพิ่มจำนวนลูกค้า
แน่นอนว่า ต้นทุนการลงทุนที่ต่ำลง เหตุเพราะดาวเทียม LEO มีต้นทุนการผลิตและการปล่อยดาวเทียมที่ต่ำกว่าดาวเทียม GEO ทำให้สามารถลงทุนได้มากขึ้นในจำนวนดาวเทียมที่มากขึ้น ซึ่งสามารถช่วยให้การให้บริการครอบคลุมพื้นที่ได้ดียิ่งขึ้น
เอกชนสู้ศึกธุรกิจ ปรับเป็นพันธมิตร LEO
ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าก่อนหน้านี้มุมมองของเอกชนยังไม่ได้รับ หรือ ปฏิเสธ ว่า LEO จะเข้ามาแทนที่การให้บริการบรอดแบนด์หรือไม่ แต่ในมุมของการปรับตัวทางธุรกิจก็เริ่มเห็นผู้เล่นในตลาดหลักทั้ง ทั้งบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) เจ้าตลาดดาวเทียม และ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้เล่นหลักในตลาดบรอดแบนด์ประจำที่ หันมาเป็นพันธมิตรและรุกธุรกิจไปกับเทคโนโลยี LEO ให้เห็นกันแล้ว
ล่าสุด เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทรู โดย มนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร ได้ลงนามความร่วมมือกับ ซู หมิง ผู้ก่อตั้ง ประธานกรรมการ และประธานคณะผู้บริหาร กาแล็กซีสเปซ เพื่อร่วมกันศึกษา แลกเปลี่ยนความรู้ ตลอดจนพัฒนาและตรวจสอบข้อมูลและเทคโนโลยีการสื่อสาร ครอบคลุมทั้ง เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ผ่านดาวเทียมวงโคจรต่ำ
การผนวกรวมการสื่อสารผ่านเทคโนโลยีอวกาศกับเครือข่ายภาคพื้นดิน และเทคโนโลยีการสื่อสารผ่านดาวเทียมที่ส่งสัญญาณตรงสู่อุปกรณ์สื่อสารบนพื้นโลก (Direct-to-Cell) รวมถึงนวัตกรรมการพัฒนาอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ตลอดจนความร่วมมือในการวิเคราะห์อุตสาหกรรมอวกาศในเชิงธุรกิจ และกรณีศึกษาและการใช้งานดาวเทียม LEO ในประเทศไทย
ทรู และ กาแล็กซีสเปซ เอ็มโอยูร่วมกันศึกษาเทคโนโลยี LEO
กาแล็กซีสเปซ คือผู้บุกเบิกตลาดอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมระดับโลก ของจีน ที่พัฒนาเทคโนโลยีดาวเทียมวงโคจรต่ำอย่างต่อเนื่อง และในฐานะบริษัทชั้นนำด้านอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมเชิงพาณิชย์ในประเทศจีน กาแล็กซีสเปซ ประสบความสำเร็จในการพัฒนาระบบ Mini-Spider ส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งโดยไม่ต้องเดินสาย นับเป็นโครงการแรกของจีนที่สร้างความสำเร็จที่ก้าวล้ำผ่านการตรวจสอบมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
นอกจากนี้ เมื่อเดือนมี.ค. 2567 ที่ผ่านมา ยังประสบความสำเร็จในการทดลองอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ผ่านดาวเทียมวงโคจรต่ำในต่างประเทศเป็นครั้งแรกของจีนในประเทศไทยผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรในท้องถิ่น โดยปัจจุบัน กาแล็กซีสเปซกำลังเร่งพัฒนาและตรวจสอบเพื่อนำไปสู่การใช้เทคโนโลยีดาวเทียม Direct-to-Cell
ขณะที่ ไทยคมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ บริษัท โกลบอลสตาร์ ผู้ให้บริการ LEO สำหรับโซลูชัน IoT จากประเทศสหรัฐอเมริกา ในการเป็นสถานีดาวเทียม LEO ให้กับโกลบอลสตาร์ ในประเทศไทยแห่งแรก และให้บริการครอบคลุม CLMV (กัมพูชา สปป. ลาว เมียนมา และเวียดนาม) เป็นเวลา 10 ปี
ที่ผ่านมาเทคโนโลยี IoT ใช้คลื่นความถี่โทรศัพท์มือถือในการทำงาน ทำให้มีข้อจำกัดในบางพื้นที่ห่างไกล หรือ พื้นที่ที่ไม่สามารถวางโครงข่ายโทรศัพท์มือถือได้ ส่งผลให้การใช้งาน IoT มีข้อจำกัดตามไปด้วย เช่น การวัดระดับน้ำในเขื่อน การวัดปริมาณน้ำฝนในป่า หรือ แม้แต่นักท่องเที่ยวที่หลงป่า หากโทรศัพท์มือถือไม่มีสัญญาณหรือแบตเตอรี่หมด ก็ไม่สามารถสื่อสารได้ แต่อุปกรณ์ IoT ที่ใช้งานผ่านดาวเทียม LEO นี้ มีความทนทานและใช้งานได้นาน
นอกจากนี้ไทยคมเองยังปรับตัวขยายเข้าสู่ธุรกิจบริการที่หลากหลายมากขึ้น เช่น การวิเคราะห์และประมวลผลจากภาพถ่ายดาวเทียม บริการประเมินคาร์บอนเครดิตในพื้นที่เกษตร/ป่าไม้ โดยไทยคม ประกาศความสำเร็จกับแพลตฟอร์ม CarbonWatch เครื่องมือประเมินคาร์บอนเครดิต ด้วยเทคโนโลยีดาวเทียม และ AI ได้รับการรับรองจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) รายแรกในไทยและอาเซียน
ทั้งนี้ ผลประกอบการล่าสุดของไทยคมปี 2567 แม้บริษัทจะเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจมหภาคที่ท้าทาย บริษัทสามารถมีกำไรจากการดำเนินงาน¹ จำนวน 109 ล้านบาท และหากพิจารณาเฉพาะธุรกิจด้านดาวเทียม บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานที่ไม่รวมธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับดาวเทียมและส่วนแบ่งขาดทุนจากธุรกิจโทรคมนาคมจำนวน 175 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่ากำไรจากการดำเนินงานปกติ 66 ล้านบาท สะท้อนถึงความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งของธุรกิจหลัก
มนตรี คงเครือพันธุ์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน เอไอเอส
ขณะที่ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส โดย มนตรี คงเครือพันธุ์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน ยอมรับว่า ปี 2567 ที่ผ่านมา นับเป็นอีกความท้าทายในการดำเนินธุรกิจทั้งสภาวะความผันผวนของเศรษฐกิจโลก สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ และอัตราดอกเบี้ย ในขณะที่เศรษฐกิจภายในประเทศยังต้องเผชิญกับหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง
ส่งผลให้ภาพรวมก็ยังไม่ได้เติบโตเท่าที่ควร แน่นอนว่า เอไอเอส พยายามปรับตัวเพื่อสู้กับความท้าทายที่เกิดขึ้น โดยมุ่งส่งประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า ประกอบกับดำเนินธุรกิจด้วยความรอบคอบ ทำให้ในปี 2567 ที่ผ่านมาบริษัทฯ สามารถรักษาการเติบโตของผลประกอบการได้ตามเป้าหมาย โดยทำรายได้รวม 213,570 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 35,075 ล้านบาท
พร้อมเตรียมงบลงทุนในปี 2568 ไว้ที่ 26,000 – 27,000 ล้านบาท เพื่อยกระดับขีดความสามารถของ Digital Infrastructure ของประเทศไทยไปอีกขั้น ทั้งโครงข่ายมือถือและเน็ตบ้าน ยกระดับการใช้ชีวิตคนไทยให้มีคุณภาพอย่างทั่วถึง เท่าเทียม รวมถึงระบบคลาวด์ และดาต้าเซ็นเตอร์ ที่เป็น Backbone สำคัญของภาคธุรกิจในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
รวมถึง บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ยังได้จับมือกับ บริการ Eutelsat OneWeb ในการเป็น Satellite Network Portal Gateway (SNP Gateway) เพื่อให้ OneWeb ใช้เป็นสถานีฐานในการทำตลาดในประเทศต่างๆในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออก ได้แก่ ฟิลิปปินส์กัมพูชา ลาว เมียนมา ไต้หวัน เกาหลีใต้ และ บางส่วนของประเทศอินโดนีเซีย
ปี 68 อินเทอร์เน็ตประจำที่หดตัว
อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 ภาพรวมของธุรกิจอินเทอร์เน็ตและดาวเทียมสื่อสารยังเติบโต โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า รายได้ตลาดอินเทอร์เน็ตผู้บริโภค (B2C) คาดว่าจะเติบโต 1.6% จากการขยายตัวของอินเทอร์เน็ตเคลื่อนที่ 2.7% และการหดตัวของอินเทอร์เน็ตประจำที่ 2.0% ในขณะที่ ตลาดอินเทอร์เน็ตองค์กร (B2B) คาดว่าจะเติบโต 5.1%
ภาพรวมธุรกิจอินเทอร์เน็ตภาคพื้นดินเติบโต 2.2% ชะลอตัวจากตลาดอินเทอร์เน็ตผู้บริโภค ซึ่งธุรกิจอินเทอร์เน็ตภาคพื้นดินในไทยมีสองตลาดหลัก ตลาดผู้บริโภค ซึ่งมีส่วนแบ่งรายได้ 83% และตลาดองค์กร ที่มีส่วนแบ่ง 17% ตลาดผู้บริโภคที่ชะลอตัวส่งผลกระทบต่อการเติบโตของอินเทอร์เน็ตภาคพื้นดิน ทำให้แนวโน้มของตลาดมีอัตราเติบโตที่ลดลง
ขณะที่ธุรกิจดาวเทียมสื่อสาร ในปี 2568 คาดว่า จะมีการเติบโตของรายได้ประมาณ 5.0% จากการที่มีดาวเทียมเปิดใช้งานเพิ่มขึ้นและการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ
รายได้ตลาดผู้บริโภคคาดว่าจะเติบโต 1.6% ในปี 2568 โดยรายได้ตลาดผู้บริโภคอินเทอร์เน็ตประกอบด้วยอินเทอร์เน็ตเคลื่อนที่และประจำที่ โดยมีสัดส่วนรายได้ราว 78% และ 22% ตามลำดับ
ปี 2568 อินเทอร์เน็ตเคลื่อนที่คาดว่าจะเติบโต 2.7% ชะลอตัวจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัวราว 4.4% โดยส่วนหนึ่งมาจากการเติบโตที่ช้าลงของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่งผลต่อรายได้อินเทอร์เน็ตในตลาดดังกล่าว นอกจากนี้ จำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตชาวไทยก็มีแนวโน้มทรงตัว เพราะกว่า 96% ของประชากรไทยมีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการก็เริ่มมีการปรับตัว และมุ่งเน้นในการเพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อหมายเลข/เดือนที่มีแนวโน้มขยายตัว 2.4% ในปี 2568 ( จากการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริการอินเทอร์เน็ตผ่านการให้บริการเสริมต่างๆ เช่น บริการสตรีมมิ่งคอนเทนต์ ประกอบกับผู้บริโภคก็มีแนวโน้มใช้งานอินเทอร์เน็ตมากขึ้น ส่งผลให้ยังคงช่วยรักษาการเติบโตของตลาดไว้ได้
รายได้จากอินเทอร์เน็ตประจำที่ หดตัว 2.0%
สำหรับรายได้จากอินเทอร์เน็ตประจำที่ ในปี 2568 คาดว่าจะหดตัว 2.0% เนื่องจากสัดส่วนการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในครัวเรือนไทยลดลงต่อเนื่องหลังจากแตะจุดสูงสุดในช่วงโควิด-19 ที่ 44.8% ของจำนวนครัวเรือนไทย โดยคาดว่าในปีนี้จะลดลงสู่ระดับ 31.4% จากการกลับมาใช้ชีวิตนอกบ้าน และการเปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่เพื่อเข้าสู่อินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะในครัวเรือนที่มีผู้พักอาศัยคนเดียว ซึ่งลดความต้องการอินเทอร์เน็ตประจำที่ ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อหมายเลข/เดือนของปี 2568 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2563 มีการลดลงถึง 19.0%
รายได้ตลาดอินเทอร์เน็ตองค์กรคาดว่าจะเติบโต 5.1% ระหว่างปี 2563-2567 รายได้จากตลาดอินเทอร์เน็ตองค์กรในไทยเติบโตเฉลี่ย 16.6% ต่อปี จากการปรับตัวสู่ยุคดิจิทัลทำให้ธุรกิจมีการใช้งานและลงทุนในเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น เช่น การลงทุนในดาต้าเซ็นเตอร์ และการประยุกต์ใช้ AI ในภาคธุรกิจ เป็นต้น
ส่งผลให้อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 มูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 2,336% ทำให้ตลาดอุตสาหกรรมดิจิทัลไทยยังคงมีทิศทางเติบโต โดยในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัว 14.3% ซึ่งจะมีส่วนหนุนอุปสงค์อินเทอร์เน็ตภาคองค์กรในปีนี้
แต่การเติบโตของตลาดองค์กรอาจไม่มากพอที่จะขับเคลื่อนภาพรวมของธุรกิจอินเทอร์เน็ตภาคพื้นดินเนื่องจากสัดส่วนรายได้ของยังคงน้อยกว่าตลาดผู้บริโภค


