'แก้วสรร'ไขมศาลพิพากษาจำคุก2ปี'พิรงรอง'มีเจตนาพิเศษให้ทรูไอดีเสียหาย
แก้วสรร อติโพธิ อดีตส.ว. นักวิชาการอิสระ ไขปมศาลศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางพิพากษาจำคุก 2 ปี "พิรงรอง รามสูต" ไม่รอลงอาญา มีเจตนาพิเศษทำให้ทรูไอดีเสียหายไม่สุจริตจะเอาให้ได้ดั่งใจทั้งที่ไม่มีมติในที่ประชุม
เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2568 นายแก้วสรร อติโพธิ อดีต สว.กทม. และนักวิชาการอิสระ เผยแพร่บทความทุกประเด็นคาใจ ไขข้อสงสัยกรณี ทรูไอดี VS อ.พิรงรอง เกี่ยวกับความขัดแย้งที่ต้องจับตาของทรูไอดี และความขัดแย้งที่ต้องจับตา: ทรูไอดี กับ นางสาวพิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านกิจการโทรทัศน์ ซึ่งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางมีคำพิพากษาให้จำคุก 2 ปีไม่รอลงอาญา เหตุเจตนากลั่นแกล้งทำให้ ทรู ดิจิทัล ไอดี บริษัทในกลุ่มทรู ดิจิทัล กรุ๊ป เสียหาย
โดยนายแก้วสรร ระบุว่า แนวคิดเรื่องมาตรฐานการใช้อำนาจหน้าที่ตามมาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญาเกี่ยวกับประเด็น ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ระบุว่า
“ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 บาทถึง 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
- OTT กสทช.ไม่มีใบอนุญาตควบคุม
กรณีนี้ ทรูไอดีมองว่านางสาวพิรงรอง ใช้อำนาจในฐานะประธานอนุกรรมการของ กสทช. โดยมิชอบ เพื่อก่อให้เกิดผลกระทบต่อธุรกิจของตนโดยตรง ส่วนกรณีทรูไอดีอ้างว่าตนถูก นางสาวพิรงรองใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้ตนเสียหายนั้น ทรูไอดี ทำแพลตฟอร์มที่เรียกว่า OTT (Over The Top) คือมีกล่องสัญญาณรวมเอารายการทั้งปวง ที่ทีวีดิจิทัล หรือเคเบิลทีวี ถ่ายทอดออกมา มารวมไว้เป็นบริการให้เราเปิดเข้าถึงได้ตลอดเวลา ทำให้เราไม่จำต้องเฝ้ารอดูหน้าจอตามเวลาที่ ทีวีเขาถ่ายทอดอีกต่อไป OTT แบบนี้ มีมากมาย มีทั้งที่ขายสมาชิกภาพ เช่น Netflix หรือเข้าถึงได้โดยเสรี เช่น ทรูไอดี
นายแก้วสรรระบุว่า กิจการแบบ OTT นี้อาศัยอินเทอร์เน็ตเป็นถนนขนส่งข้อมูล ไม่ได้อาศัยคลื่นความถี่ ซึ่งกฎหมายไทยถือเป็นทรัพยากรของชาติ กฎหมาย กสทช.ปัจจุบันจึงยังไม่มีระบบใบอนุญาตมาควบคุมเหมือนทีวี ทำให้เถียงกันมาหลายปีแล้วว่ารัฐควรมีอำนาจควบคุมหรือไม่ อย่างไร ทั้งนี้ อินเทอร์เน็ต เป็นทางหลวงของโลกไปแล้ว ซึ่งจะให้ NETFLIX ที่เป็น OTT ชนิด ข้ามชาติข้ามโลก มาขออนุญาต กสทช.ไทย ก็คงเป็นไปไม่ได้ อย่างเก่งบางรัฐเขาก็ทำได้แค่ห้ามถ่ายทอดรายการที่มีเนื้อหาต้องห้ามเท่านั้น
- เอกสารเตือน กสทช.มีการระบุชื่อทรูไอดีโดยตรง
นายแก้วสรร ระบุถึงกรณีมีผู้มาร้องเรียนต่อ กสทช.ว่า OTT ของทรู มีโฆษณาคอยแทรกตอนเปลี่ยนรายการอยู่ด้วยทุกครั้ง ผู้ร้องอ้างว่าทำอย่างนี้ไม่เป็นธรรมกับผู้บริโภค อีกทั้ง ในชั้นพิจารณาคำร้องทุกข์ทรูไอดีนี้ ก็ยุติกันตรงจุดนี้เหมือนกันว่า เรายังไม่มีกฎหมายที่จะควบคุมเขา เรื่องก็เลยยุติไป แต่ปรากฏว่า นางสาวพิรงรอง ไม่ยอมยุติ กลับนำปัญหานี้เข้ามาในอนุกรรมการใบอนุญาตโทรทัศน์ที่ตนเองเป็นประธาน เพื่อผลักดันจัดการกับ ทรูไอดีให้ได้
ส่วนกรณีที่ทรูไอดีไม่ใช่ทีวี กสทช.จะไปจัดการได้หรือไม่นั้น นายแก้วสรรย้ำว่า หลังจากถกเถียงกันอยู่นานในที่ประชุมอนุกรรมการกำกับใบอนุญาตโทรทัศน์ นางสาวพิรงรอง ก็ผลักดันออกมาจนเป็นความเห็นได้ว่า แม้จะยังไม่มีกฎหมายคุม OTT แต่เราก็มีอำนาจตามกฎหมาย ทีวี เตือนไปยังทีวีทั้งหมดทั้ง ดิจิทัลและเคเบิ้ลได้ว่า คุณจะถ่ายทอดได้ก็แต่เฉพาะช่องทางที่เราอนุญาตไว้ และถ้ามีรายการประเภทบังคับให้ถ่ายทอด ( Must Carry) ก็จะให้มีโฆษณาปรากฏด้วยไม่ได้
"เมื่อยังไม่มีกฎหมาย OTT เราก็ใช้กฎหมายทีวีนี่แหละ ไปตลบหลังบีบทีวีทั้งหลายให้ปฏิเสธไม่ให้ถ่ายทอดรายการของตนได้ ซึ่งหลังจากเถียงกันอยู่นานในที่สุดก็ออกมาเป็นหนังสือเตือนถึงทีวี เมื่อ 24 ก.พ. 2566 จนได้"
ส่วนกรณีทำไมทรูไอดี จึงฟ้องร้องเป็นคดีอาญาจนมีคำพิพากษาจำคุก 2 ปีไม่รอลงอาญานั้น นายแก้วสรรระบุว่า "มันมีการออกหนังสือเตือนฉบับที่ 2 เตือนซ้ำมาอีกครั้ง เมื่อ 3 มี.ค. 2566 ครั้งนี้เติมความมาอีกว่า การถ่ายทอดทีวีผ่านช่องทางอื่นเช่น OTT นั้น OTT ดังกล่าวต้องได้รับอนุญาตด้วย จากนั้นก็เลยระบุถึงทรูไอดี โดยเจาะจงเลยว่า รายนี้ยังใม่ได้ขออนุญาต จึงเรียนมาให้ทุกท่านทราบและทำตามกฎหมายโดยเคร่งครัดด้วย พอออกหนังสือเตือนเติมมาอย่างนี้แล้ว ก็สั่งให้แก้ไขรายงานการประชุมเพิ่มความลงไปอีกว่าที่ประชุมมีมติให้ระบุ กรณี ทรูไอดีลงไปในคำเตือนด้วย
- ไม่ใช่ความผิดพลาดแต่เจตนาให้ทรูไอดีเสียหายโดยเฉพาะ
นายแก้สรรระบุว่า คดีดังกล่าวได้ฟังจากเทปการประชุมว่า นางสาวพิรงรองพูดว่า "งานนี้เราต้องเตรียมตัวล้มยักษ์" เมื่อศาลถามว่ายักษ์ที่นี้คือใคร นางสาวพิรงรองก็รับกับศาลว่าหมายถึงทรูไอดีก็เลยชัดเจนต่อศาลว่า กรรมการกสทช.คนนี้ใช้อำนาจหน้าที่ครั้งที่สองนี้ เพื่อมุ่งจัดการกับกล่องสัญญาณของทรูโดยเฉพาะ ทั้งที่ก็รู้ดีว่า กสทช.ยังไม่มีประกาศรับอนุญาตกล่องสัญญาณ OTT เลย การระบุชื่อเขาขึ้นมาลอยๆ ในคำเตือนอย่างนี้ ยังผลทำให้ทีวีช่องต่างๆ พากันไม่ไว้วางใจที่จะตกลงกับ ทรูไอดีอีกต่อไป ทรูเขาก็เลยอ้างความเสียหายนี้มาฟ้อง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157ในที่สุด
"เทปนี้ปรากฏขึ้นในศาลเอง เพราะชั้นแรกทรูฟ้อง ผอ.ที่ลงนามในหนังสือ เท่านั้น ผอ.คนนี้ก็เลยต้องเอาเทปมาแสดงต่อศาลว่า ตนเองทำตามคำสั่งของประธานที่สั่งไว้อย่างนี้ ทรูเลยหันมาฟ้องนางสาวพิรงรองในที่สุด"
นายแก้วสรร ระบุว่า นับเป็นพฤติการณ์ล้ำหน้าชัดเจน แสดงถึงความไม่สุจริต จะเอาให้ได้ดั่งใจตนเองให้จงได้ ทั้งที่ในที่ประชุมไม่ได้มีมติอย่างนั้น และค้านกันไว้ระงมว่าทำไม่ได้ ทั้งนี้ มีองค์ประกอบข้อสองมาสมทบว่า นี่ไม่ใช่ความผิดพลาดเท่านั้น แต่มันมีเจตนาพิเศษยืนอยู่ในใจ ทำไปเพื่อจะให้ทรูไอดีเสียหาย อีกทั้งยังมุ่งจะจัดการกับทรูเท่านั้นจริงๆ


