เกียรตินาคิน วิเคราะห์ศก.ไทย68 โตเพียง 2.6% ต่ำสุดในการวิเคราะห์ทุกค่าย
KKP แจงสาเหตุเศรษฐกิจไทยโตต่ำ แม้แจกเงิน10000-ส่งออก-ท่องเที่ยวฟื้นตัว พร้อมคาดการณ์ปี 2568 โตเพียง 2% หากภาคอุตสาหกรรมไม่ฟื้น
KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ระบุว่า ประเมินว่าเศรษฐกิจในปี 2568 ขยายตัวเพียง 2.6% ซึ่งถือว่าเป็นการเติบโตต่ำสุดในกลุ่มการคาดการณ์ต่างๆ โดยมีสาเหตุจากแรงส่งภาคบริการลดลงไปมาก ภาคอุตสาหกรรมที่ยังฟื้นตัวไม่มากนัก และการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ผลลัพธ์ไม่ตรงตามคาด อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะนโยบายด้านการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจกระทบต่อการการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยหากภาคอุตสาหกรรมไทยยังไม่ฟื้นตัวและติดลบในอัตราใกล้เคียงกับในปี 2567 จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ช้าลงโดยจะเติบโตได้เพียง 2.0% หรือต่ำกว่านั้น
โดยในช่วงปี 2567 ที่ผ่านมา หลายฝ่ายหวังว่าแรงส่งทางบวกจาก 3 ปัจจัยบวกที่สำคัญ ได้แก่
1. การแจกเงินจากภาครัฐ 2. การส่งออกที่เติบโตได้ดี 3. จำนวนนักท่องเที่ยวที่เติบโตได้ตามที่ประเมินไว้ แต่กลับพบว่าแรงส่งน้อยกว่าคาด โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านการแจกเงิน 10,000 บาทเฟสแรก ให้กับกลุ่มเปราะบาง เป็นเม็ดเงินกว่า 1.4 แสนล้านบาท หรือ 0.7% ของจีดีพี แต่ผลลัพธ์กลับต่ำกว่าคาด โดยการบริโภคในภาพรวมเพิ่มขึ้นเพียง 10% ผลสำรวจพบว่าผู้รับเงินส่วนใหญ่ใช้จ่ายไปกับสินค้าจำเป็น เช่น อาหารและการชำระหนี้ และบางส่วนเก็บเป็นเงินออม หรือใช้จ่ายในเศรษฐกิจนอกระบบ ซึ่งทำให้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไม่ชัดเจน นอกจากนี้ ปัจจัยเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น สินเชื่อภาคธนาคารหดตัวและหนี้ครัวเรือนสูง ยิ่งทำให้การฟื้นตัวของการบริโภคยังไม่เกิดขึ้นอย่างที่คาดหวัง คำถามคือ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2025 ควรปรับรูปแบบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นหรือไม่
ทั้งนี้ KKP คาดการณ์ว่าการบริโภคภาคเอกชนไทยในปี 2568 มีแนวโน้มชะลอตัวเหลือ 2.3% จาก 4.2% ในปี 2024 โดยเฉพาะการบริโภคสินค้าคงทนที่ยังคงหดตัว
ขณะที่ ส่งออกไทยจะเติบโต 5.4% ในปี 2567 แต่การผลิตในประเทศยังคงหดตัว ปัญหาหลักมาจากการนำเข้าจากจีนเพื่อส่งออกไปสหรัฐ (Rerouting) ซึ่งทำให้การผลิตในไทยไม่เพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น Solar Panels และ Wifi Routers ที่นำเข้าจากจีน ส่งผลให้การส่งออกที่เพิ่มขึ้นไม่ช่วยเศรษฐกิจไทยมากนัก เนื่องจากมูลค่าเพิ่มในประเทศลดลง เช่น การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่มีมูลค่าเพิ่มในประเทศน้อยกว่ารถยนต์สันดาปภายในประเทศ
สำหรับในระยะถัดไปการส่งออกไทยในอนาคตจะเผชิญความท้าทายจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อ 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าจากจีนเพื่อส่งออกไปสหรัฐ (Rerouting), สินค้าที่ส่งออกไปสหรัฐ, สินค้าที่จีนส่งมาสู่ไทย, และสินค้าที่ไทยมีการตั้งกำแพงภาษีกับสหรัฐฯในระดับสูงอาจถูกต่อรองให้ไทยนำเข้าสินค้าเพิ่มเติมได้
ส่วนภาคการท่องเที่ยว แม้จำนวนนักท่องเที่ยวกลับมาแล้ว แต่เศรษฐกิจกลับไม่ดีเหมือนที่คิดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามายังไทยในปี 2567 มีจำนวน 35.5 ล้านคน โดยเติบโตขึ้นประมาณ 26.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน สอดคล้องกับที่หลายฝ่ายประเมินไว้ อย่างไรก็ตามผลต่อเศรษฐกิจในภาพรวมกลับยังมีค่อนข้างจำกัดโดยประเมินว่ารายได้จากการท่องเที่ยวที่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติมาก เนื่องจากการกระจุกตัวของรายได้ในบางจังหวัดและผลกระทบจากการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมที่ยังชะลอตัว