กางข้อมูลการใช้พลังงานประเทศไทยปี 67 ยืนยันค่าไฟ-น้ำมัน เหมาะสม
กระทรวงพลังงานเปิดข้อมูลการใช้พลังงานปี 67 พบมีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น 5.9% กลุ่มอุตสาหกรรมใช้มากที่สุด ยืนยันราคาค่าไฟและน้ำมันอยู่ในระดับเหมาะสม พร้อมกางรายละเอียดต้นทุน เผยแผนปี 68 เดินหน้าหาพลังงานเพิ่ม เติมพลังงานสะอาดเข้าระบบ
นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ในปี 2567 สถานการณ์การใช้พลังงานของประเทศ ระหว่างเดือน ม.ค.-ต.ค.2567 ประเทศไทยมีความต้องการใช้ไฟฟ้า 181,206 GWh เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 5.9% ขณะที่การผลิตไฟฟ้าตามสัญญา อยู่ที่ 55,411 MW
สำหรับกลุ่มที่ใช้ไฟฟ้ามากที่สุด ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรม 40.9% เพิ่มขึ้น 2.8% รองลงมาคือกลุ่มครัวเรือน 29.3% เพิ่มขึ้น 8.7% กลุ่มธุรกิจ 24.8% เพิ่มขึ้น 7.3% และกลุ่มอื่นๆ 5% ทั้งนี้ประเทศไทยยังคงเป็นประเทศนำเข้าพลังงาน 74.5% และมีการจัดหาก๊าซธรรมชาติในประเทศ 59% ขณะที่การจัดหาน้ำมันดิบในประเทศ 8%
ส่วนสถานการณ์การใช้รถ EV ในประเทศไทย พบว่าเติบโตอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2567 ระบุว่า รถ BEV มียอดจดทะเบียนสะสม 220,459 คัน เพิ่มขึ้น 67.2% จำนวนสถานีประจุไฟฟ้า ณ เดือนมิ.ย. 2567 มีจำนวน 3,175 สถานี เพิ่มขึ้น 19.5% จำนวนหัวจ่ายประจุไฟฟ้ามีจำนวน 10,846 หัวจ่าย เพิ่มขึ้น 11.9%
คาด 2-3 เดือน เห็นแผนลดค่าไฟ
สำหรับข้อเสนอค่าไฟที่ 3.98 บาทต่อหน่วย กกพ.ได้เสนอมานั้น นายประเสริฐ กล่าวว่าปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการหารือกับอัยการ ซึ่งการปรับ Adder และ FiT เป็นนโยบายที่ กกพ. เคยนำเสนอแล้ว และนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานแล้วเมื่อปีที่แล้ว คาดว่าจะเห็นแผนภายใน 2-3 เดือนนี้ แต่ไม่รับปากว่าสามารถปรับลดค่าไฟได้ภายในรอบที่ 2 คืองวดเดือนพ.ค.-ส.ค. 2568
ส่วนข้อเสนอว่าอยากทำปรับรูปแบบ Adder ให้มาเป็นแบบ FiT คืออัตรารับซื้อไฟฟ้าคงที่ตลอดอายุโครงการ และให้บางโครงการก็ให้สิ้นสุดสัญญาลงถือเป็นเรื่องของสัญญาจำเป็นต้องทำให้รอบคอบ ซึ่งมีการนำเข้ากฤษฎีกาและหารือกับอัยการอยู่ เพราะต้องตรวจสอบหลักสัญญาว่าเขียนไว้รัดกุมแค่ไหน ถึงเรื่องจะเอื้อให้มีการเปลี่ยนแปลงได้
ทั้งนี้ เข้าใจว่าทั้ง Adder และ FiT เป็นต้นทุนค่าไฟฟ้า แต่ก็ต้องดูกันอย่างรอบคอบ ซึ่งปัจจุบันก็มีการหารือกับกระทรวงมหาดไทย 3 การไฟฟ้า บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) และ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ด้วยว่าจะใช้แนวทางไหนได้บ้าง
เปิด 5 นโยบายพลังงานปี68
สำหรับแผนพลังงานปี 2568 ประกอบด้วย 5 นโยบาย ได้แก่ 1.นโยบายการจัดหาพลังงานใหม่ของกระทรวงพลังงานในปี 2568 ประกอบด้วย สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมบนกรอบ 25 คาดว่าจะมีปริมาณทรัพยากรน้ำมันดิบประมาณ 5.76 ร้านบาร์เรลและก๊าซธรรมชาติประมาณ 20.7 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต คาดว่าจะมีเงินลงทุนในการสำรวจและพัฒนาปิโตรเลียมในประเทศไม่น้อยกว่า 73.75 ล้านเหรียญสหรัฐ
ขณะที่สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในทะเลรอบ 26 จากการสำรวจพบปิโตรเลียมในบริเวณข้างเคียงทะเลอันดามันที่มีการค้นพบปริมาณทรัพยากรซึ่งทำให้อาจค้นพบปริมาณทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่ขอสิทธิสำรวจ ส่วนเขตพื้นที่ไหล่ทวีปคาบเกี่ยวไทยกับกัมพูชาหาแนวทางความร่วมมือให้เกิดเป็นพื้นที่พัฒนาร่วมเพื่อนำทรัพยากรปิโตรเลียมมาใช้ในอนาคต
2.นโยบายในการบริหารจัดการระบบพลังงานให้มีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นเพื่อรองรับพลังงานทุกรูปแบบ ทั้งการพัฒนาระบบสำรองเชื้อเพลิงและการตรวจสอบปริมาณสำรอง การพัฒนาระบบ Smart Grid การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานยานยนต์ไฟฟ้า การพัฒนาระบบ SPR และการยกระดับระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับการผลิตแบบกระจายศูนย์
3.นโยบายการส่งเสริมการลงทุนด้านพลังงาน กระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ เพื่อขีดความสามารถในการแข่งขัน เร่งขับเคลื่อนพลังงานสะอาดเพื่อเปิดรับการลงทุนจากบริษัทชั้นนำระดับโลก เช่น ดาต้า เซ็นเตอร์ ผ่านมาตรการเช่น Direct PPA, UGT และการปรับแผน PDP ให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ประเทศไทยกำลังเป็นดิจิทัลฮับของอาเซียน โดยพบว่ามีโครงการ ดาต้า เซ็นเตอร์ และ บริการคลาวด์ ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) รวม 47 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 173,000 ล้านบาท โดยสิ่งหลักที่โครงการดังกล่าวต้องการคือพลังงานสะอาด
4.นโยบายที่สำคัญคือการเตรียมเสนอมาตรการด้านพลังงานสีเขียว ส่งเสริมการติดตั้ง Solar Roof ผลักดันมาตรการทางภาษี การลดขั้นตอนการขออนุญาตติดตั้ง การส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากชีวมวลเพื่อลดการเผาไหม้ในที่โล่งแจ้ง ก็จะเป็นอีกตัวช่วยในการลดฝุ่น PM2.5
5.นโยบายสนับสนุนเทคโนโลยีพลังงานรูปแบบใหม่ ทั้งพลังงานไฮโดรเจน การปรับเปลี่ยนเอทานอลมาใช้ในอุตสาหกรรมน้ำมันเครื่องบินหรือ SAF การพัฒนาการกักเก็บ CO2
กางต้นทุนพลังงาน
ด้านนายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้หนี้ค่าไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เหลืออยู่ 71,361 ล้านบาท จากเดิมที่ 95,77 ล้านบาท โดยราคาค่าไฟ 4.29 บาทต่อหน่วย อยู่อันดับที่ 5 ของโลก จาก 10 ประเทศ โดยข้อมูล ณ วันที่ 30 ธ.ค. 2567 พบว่า ประเทศที่มีค่าไฟต่ำสุด คือ เวียดนามอยู่ที่ 2.50 บาทต่อหน่วย และประเทศที่มีค่าไฟสูงที่สุดคือ อังกฤษ อยู่ที่ 11.80 บาทต่อหน่วย
ขณะที่ราคาน้ำมันดีเซล ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 4 โดยมีราคาอยู่ที่ 32.94 บาทต่อลิตร โดยโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 3 ม.ค. 2568 แบ่งออกเป็น ราคาขายปลีก - ค่าการตลาด 1.4720 บาท ,ราคาขายส่งกองทุน 10.2277 บาท แบ่งเป็นกองทุนอนุรักษ์ 0.05 บาท ,กองทุนน้ำมัน 1.530 บาท ,ภาษีสรรพสามิตภาษีเทศบาลและแหวกรวม 8.6477 , และราคา ณ โรงกลั่น ราคาอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ 21.2403 บาท


