posttoday

ตลาดหุ้นลุ้นคดี “เศรษฐา” รอดหรือไม่ เชื่อกระทบลงทุนระยะสั้น

13 สิงหาคม 2567

การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญต่อคดีคุณสมบัตินายกฯเศรษฐา ทวีสิน 14 ส.ค.นี้ 4 บล.ดัง ประเมิน หากรอดมีการปรับ ครม.ตามมา ถ้าไม่รอด กระทบนโยบาย ดิจิทัล วอลเล็ต เชื่อ หากหานายกฯคนใหม่ทันไตรมาส 3 กระทบตลาดแค่ระยะสั้น คาดพรรคร่วมรัฐบาลเป็นกลุ่มเดิม

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญต่อคดีคุณสมบัตินายกฯเศรษฐา ทวีสิน ในวันที่ 14 ส.ค.นี้ ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์ประเมินผลลัพธ์ที่ออกมาทั้ง 2 กรณีดังต่อไปนี้

1.หากศาลพิจารณายกคำร้อง ก็จะทำให้นายเศรษฐา สามารถดำรงตำแหน่งนายกฯได้ต่อไป ในกรณีนี้ เราประเมินว่ามีโอกาสสูงที่อาจจะเห็นการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตามมาในช่วงถัดไป

2.หากศาลพิจารณาให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง ก็จะทำให้นายกฯเศรษฐา หลุดจากตำแหน่งไปพร้อมๆกับคณะรัฐมนตรีทั้งหมด ซึ่งขั้นตอนหลังจากนั้น สภาฯมีหน้าที่ ที่จะต้องลงคะแนนเสียงเลือกนายกฯจากบัญชีแคนดิเดตที่เหลืออยู่ อาทิเช่น แพทองธาร/ชัยเกษม จากพรรคเพื่อไทย หรือ อนุทิน จากพรรคภูมิใจไทย เป็นต้น

ประเมินผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย ในกรณีแรกถือเป็นกรณีดีสุดเนื่องจากจะทำให้ความต่อเนื่องในการบริหารงานของรัฐบาลเกิดขึ้นได้ต่อไป นำมาสู่ความต่อเนื่องทางนโยบายเศรษฐกิจ อาทิเช่น นโยบาย Digital Wallet ที่รออยู่ในช่วงไตรมาสที่ 4 นี้ หากออกมาในรูปแบบนี้ คาดแนวรับสำคัญของ SET ที่ 1,270 จุดที่ฝ่ายวิเคราะห์ให้ไว้นั้นจะยังสามารถทำงานได้ต่อไป

แต่หากผลออกมาเป็นกรณีที่สอง คงจะต้องมาดูว่าการรวมคะแนนเสียงเพื่อเลือกนายกฯคนถัดไป พร้อมกับการจัดตั้ง ครม. ชุดใหม่จะกินเวลายาวนานแค่ไหน หากเกิดขึ้นได้เร็วภายในไตรมาสที่ 3 นี้ เชื่อว่าผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยคงจะมีไม่มากนัก แต่หากสถานการณ์มีความยืดเยื้อจนกระทั่งเกิดสุญญากาศทางการเมืองไปถึงไตรมาสที่ 4 ประเมินตลาดหุ้นไทยมีโอกาสเผชิญกับภาวะ Political risk premium ที่สูงขึ้นได้ 

หากออกมาในรูปแบบนี้มีโอกาสที่คาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ต่างๆจะถูกปรับลงอีกระลอกหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มที่อิงกับ Domestic demand ซึ่งจะถูกบั่นทอนจาก ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลง การชะลอการลงทุนของภาคธุรกิจและการเบิกจ่ายภาครัฐที่ล่าช้าออกไป ไม่นับรวมกับสายตาของนักลงทุนต่างชาติที่เบื่อหน่ายกับภาพการเมืองไทยที่มักมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง

ในกรณีนี้ ฝ่ายวิเคราะห์อาจจำเป็นต้องปรับลดสมมติฐาน EPS ของตลาดลง จนกระทบกับระดับดัชนี SET ที่เหมาะสม ซึ่งนั้นหมายถึงระดับแนวรับสำคัญที่ 270 จุด ก็จะถูกกดต่ำลงมาโดยอัติโนมัติ

ด้านนายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยกับ "โพสต์ทูเดย์" ว่า ศาลรัฐธรรมนูญนัดพิพากษาคดีถอดถอน นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ในวันพรุ่งนี้ (14 ส.ค.2567) มองเป็น 2 กรณี ได้แก่ 

1.นายกฯ ไม่ถูกถอดถอน คาด SET INDEX จะปรับตัวขึ้นไปหา 1,320 จุด กลุ่มเด่น คือ ค้าปลีก, รับเหมาฯ, หุ้นการเมือง เช่น SC, SIRI, XPG 

2. นายกฯ ถูกถอดถอน คาด SET INDEX จะปรับตัวลงหากรอบ 1,240-1,270 จุด (อิงสถิติช่วงการเมืองวุ่นวายในอดีต) หุ้นกลุ่ม Global Play จะเด่นกว่า Domestic Play เพราะเกิดสุญญากาศทางการเมือง

ขณะที่นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย กล่าวกับ "โพสต์ทูเดย์" ว่า หากนายกรัฐมนตรี ได้ดำรงตำแหน่งต่อ ประเมินว่าตลาดจะตอบรับเชิงบวก แต่หากต้องหลุดจากตำแหน่ง ตามกำหนดการแล้ว สภาต้องเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ พร้อมกับคณะรัฐมนตรีทั้งชุดต้องพ้นสภาพ และต้องหาคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ อาจสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้น (หากเกิดกรณีหลุดจากตำแหน่ง) 

อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าหากปรับฐานเชื่อว่าจะไม่แรงมาก เพราะสุดท้ายนักลงทุนจะต้องมองถึงการมาของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ พร้อมกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หากปรับฐานจึงมองเป็นโอกาสสะสมมากกว่า 

สอดคล้องกับ ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่า หากนายกฯ ถูกถอดถอน ตลาดหุ้นน่าจะถูกตีความในเชิงลบในช่วงเวลาสั้นๆ โดยเชื่อว่าสุญญากาศของรัฐบาล ไม่น่าจะใช้เวลานาน และแนวนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจก็ไม่น่าจะเปลี่ยน บนสมมุติฐานว่า พรรคร่วมรัฐบาลยังเป็นกลุ่มเดิม 

กรณีถ้านายกฯ ไม่ถูกถอดถอน การดำเนินนโยบายต่างๆ ยังเป็นไปตามกระบวนการตามปกติ และตลาดหุ้นน่าจะตอบสนองในเชิงบวกมากกว่า