posttoday

คลัง ยังมั่นใจใช้งบ 4.5 แสนล้านทำ Digital Wallet ช่วยดันจีดีพีปี 68 โต 1.3-1.8%

11 กรกฎาคม 2567

เผ่าภูมิ รมช.คลัง ชี้ใช้งบทำ Digital Wallet วงเงิน 4.5 แสนล้าน ลดลงจาก 5 แสนล้าน ยังช่วยหนุนจีดีพีปี 68 ขยายตัวได้ 1.3-18% ตามสมมุติฐานเดิม ชี้หากมีคนเข้าร่วมมากกว่า 40 ล้านคน จะสร้างผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจมากขึ้น

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ว่า แม้ว่าเงื่อนไขวงเงินใน โครงการเติมเงิน  10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet จะปรับลดลงอยู่ที่ 4.5 แสนล้านบาท จาก 5 แสนล้านบาท แต่ยังเชื่อว่าโครงการ  Digital Wallet จะยังช่วยกระตุ้นอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือจีดีพีของไทยในปี 2568 ให้ขยายตัวเพิ่มขึ้น 1.3-1.8% ตามการประมาณการเดิม เนื่องมาจากการคำนวณและวิเคราะห์จากมาตรการโครงการที่ผ่านมา พบว่า จะมีประชาชนมาลงทะเบียนไม่เต็ม 100% หรือเข้ามาร่วมโครงการประมาณ 80-90% เท่านั้น หรือประมาณ 40 กว่าล้านคน ซึ่งอยู่ในฐานประมาณการเดิมที่ได้ประมาณการไว้ ไม่ได้เปลี่ยนแปลง  

 

“การคำนวณวงเงินเหลือ 4.5 แสนล้านบาทนั้น ไม่ได้ผิดอะไรกับตอนแถลงสภาผู้แทนฯ เนื่องจากในตอนนั้น เป็นการคำนวณสมมุติฐานจาก 40 กว่าล้านคน และผลต่อจีดีพีประมาณ 1.3-1.8% เวลาเราประมาณการเศรษฐกิจไม่ได้ประมาณว่า จะมีคน 50.7 ล้านคนเข้ามาใช้โครงการทุกคนตั้งแต่แรก มันเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นถ้าใครประเมินเศรษฐกิจากตรงนี้ถือว่าเป็นการประเมินที่เวอร์เกินจริง แต่อย่างไรก็ตามผลต่อจีดีพีขึ้นอยู่กับ ว่าเราสามารถทำให้เงื่อนไขมีผลกระทบในเชิงบวกต่อเศรษฐกิจได้มากแค่ไหน ” นายเผ่าภูมิ กล่าว

 

ส่วนเงื่อนไขเพิ่มเติมที่ไม่รวมเครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์สื่อสาร ยอมรับว่า ทำให้ใช้ยากขึ้น แต่จะทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในประเทศมากขึ้น เพราะสินค้าดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นสินค้าประเภท Import Content 

อย่างไรก็ตาม หากมีผู้ลงทะเบียนเกินกว่าที่ตั้งงบไว้ 4.5 แสนล้านบาท กลไกงบประมาณจะสามารถรองรับได้ และหากคณะกรรมการชุดใหญ่ของ Digital Wallet ใช้แนวทางของแหล่งเงินจากงบประมาณตาม ที่สำนักงบประมาณและกระทรวงการคลังเสนอ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เงินจาก ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) และไม่จำเป็นต้องส่งเรื่องให้กฤษฎีกาตีความแล้ว

 

"การส่งความเห็นให้กฤษฎีกาตีความ จริงๆอยู่ในกระบวนการเข้าสู่การพิจารณาของครม.อยู่แล้ว เพราะเรื่องที่ต้องเข้าครม.แทบทุกเรื่องต้องเวียนผ่านความเห็นของกฤษฎีกา ซึ่งกฤษฎีกาก็นั่งอยู่ในบอร์ดชุดใหญ่ด้วย ก็สามารถให้ความเห็นได้อยู่แล้ว ขณะที่การใช้แหล่งเงินจากธ.ก.ส. หากคณะอนุกรรมการเสนอเข้าบอร์ดชุดใหญ่ และบอร์ดมีมติว่าเรื่องแหล่งเงินให้เป็นไปตามนี้ ก็หมายความว่า จะไม่มีความจำเป็นที่ต้องใช้เงิน ธ.ก.ส. ก็ไม่ต้องนำเรื่องส่งให้กฤษฎีกาตีความ" นายเผ่าภูมิ กล่าว

 

ส่วนกรณีที่กระทรวงการคลังมีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน)  พร้อมแต่งตั้งกองทุนประกันวินาศภัยเป็นผู้ชำระบัญชีนั้น คาดว่าใน 2-3 เดือน จะเห็นรูปร่างกระบวนการเข้าไปช่วยเหลือว่าจะดำเนินการอย่างไร ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาหลายแนวทาง