“คลัง”จ่อเก็บภาษีคาร์บอนน้ำมันตามการปล่อยก๊าซพิษ รับเทรนเศรษฐกิจสีเขียว
กรมสรรพสามิต เผยเตรียมชง คลังเก็บภาษีCarbon Tax ตามการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เล็งจัดเก็บ 200 บาทต่อตันคาร์บอน ตามราคากลางสากล ยืนยันระยะแรงไม่ให้กระทบประชาชน หากครม.ไฟเขียว ดำเนินการทันที
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมฯ อยู่ระหว่างการเสนอกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาแนวทางการจัดเก็บภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) ซึ่งจะเป็นกลไกภาคบังคับให้ภาคธุรกิจ และทุกส่วนที่เกี่ยวข้องมีการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยหากกระทรวงการคลังพิจารณาแล้วว่าสามารถดำเนินการได้ ก็จะเตรียมเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป
สำหรับภาษีคาร์บอนนั้น จะมีการดึงมาตรฐานสากลมาใช้ในการคำนวณ และยืนยันว่าการดำเนินการในระยะแรก จะต้องไม่ส่งผลกระทบกับประชาชน และจะต้องทำให้เกิดกลไกราคาคาร์บอนขึ้นในประเทศไทยทันที โดยข้อเสนอของกรมฯ ในระยะแรกให้มีการจัดเก็บภาษีคาร์บอน อยู่ที่ 200 บาทต่อตันคาร์บอน ซึ่งจะถือเป็นราคากลาง และเป็นอัตราการจัดเก็บที่ใกล้เคียงกับสิงคโปร์
โดยพิกัดภาษีคาร์บอนจะแทรกอยู่ในภาษีสรรพสามิตน้ำมัน เช่น ปัจจุบันมีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล อยู่ที่ 6.44 บาทต่อลิตร และภาษีคาร์บอนจะผูกกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งน้ำมันดีเซล 1 ลิตรจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 0.0026 ตันคาร์บอน ดังนั้นเมื่อคำนวณแล้ว น้ำมันดีเซลประมาณ 1 ลิตรจะเสียภาษีคาร์บอน ราว 0.46 บาทต่อลิตร
“อัตราภาษีที่ใช้ในช่วงแรกจะต้องไม่กระทบกับประชาชน ตรงนี้เป็นโจทย์ที่กระทรวงการคลังให้มา เพราะที่ผ่านมากรมฯ ก็ได้มีการดำเนินการเรื่องนี้ไปแล้ว จากการจัดเก็บภาษีรถยนต์ ซึ่งเดิมทีจะเก็บภาษีตามขนาดกระบอกสูบ ก็เปลี่ยนมาเป็นการจัดเก็บภาษีตามการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เช่น หากรถยนต์ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จะเสียภาษี 35% แต่หากปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำกว่า 150 กรัมต่อกิโลเมตร จะเสียภาษี 25% โดยกรมฯ ได้แปลตรงนี้ให้ไปผูกกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในน้ำมัน เรื่องนี้กรมฯ สามารถดำเนินการได้ทันทีโดยไม่ต้องออกกฎหมายใหม่ เพราะเรามีภาษีน้ำมันอยู่แล้ว และหากสามารถดำเนินการได้จริง จะทำให้ไทยกลายเป็นประเทศที่ 2 ในอาเซียนที่มีการดำเนินการเรื่อง Carbon Tax ต่อจากสิงคโปร์” นายเอกนิติ กล่าว
นอกจากนี้ การดำเนินการเรื่องภาษีคาร์บอนนี้ ในมุมเอกชนก็จะได้รับประโยชน์ด้วย เนื่องจากในปี 2569 ยุโรปจะเริ่มเก็บภาษี Carbon Border Adjustment Mechanism : CBAM หรือภาษีนำเข้าคาร์บอนเป็นมาตรการปรับราคาสินค้านำเข้าบางประเภทก่อนเข้าพรมแดนสหภาพยุโรป เพื่อป้องกันการนำเข้าสินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ดังนั้นหากภาคอุตสาหกรรมไทย เช่น โรงเหล็กไทย ใช้น้ำมันดีเซลที่มีการเสียภาษีคาร์บอนแล้วในกระบวนการหลอมเหล็ก ซึ่งกรมฯ อยู่ระหว่างการเจรจากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้สามารถใช้ภาษีคาร์บอนที่อยู่ในน้ำมันดีเซลนี้ไปหักกลบได้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันในตลาดโลกได้มากขึ้น
อย่างไรก็ดี กระทรวงการคลังอยากให้เริ่มดำเนินการจัดเก็บภาษีคาร์บอนในปีงบประมาณ 2568 และยอมรับว่าในช่วงแรกการจัดเก็บรายได้จากภาษีคาร์บอนอาจจะไม่มากนัก เพราะนโยบายของรัฐบาลคือต้องไม่กระทบกับประชาชน และปัจจุบันบทบาทของกรมฯ ไม่ใช่แค่การจัดเก็บรายได้เท่านั้น แต่ยังมีหน้าที่ในการช่วยเหลือประชาชนด้วย สะท้อนจากการลดการจัดเก็บภาษีน้ำมัน ซึ่งทำให้กรมฯ สูญเสียรายได้เดือนละ 2 หมื่นล้านบาท เช่นเดียวกับมาตรการลดภาษีเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ทำให้ปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมอีวีขยายตัวถึง 685% แต่ช่วยให้เกิดการลงทุนในประเทศเพิ่มขึ้นได้ โดยปัจจุบันมีค่ายรถยนต์มา MOU กับกรมฯ เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในอุตสาหกรรมอีวีแล้ว 22 ราย คิดเป็นมูลค่าการลงทุนกว่า 8 หมื่นล้านบาท และยังช่วยประเทศไทยสามารถลดคาร์บอนด์ไดออกไซด์ได้ 2.4 แสนตันคาร์บอนต่อปี ตรงนี้ถือว่าช่วยชดเชยภาษีที่สูญเสียไปได้


