คลัง จ่อปรับลดภาษีที่ดิน-สิ่งปลูกสร้าง ลดภาระประชาชน
“เผ่าภูมิ”ชี้ ภาษีต้องไม่ซ้ำเติมประชาชนในช่วงที่เศรษฐกิจไทยอ่อนแอ เตรียมลุยปรับลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ย้ำแบงก์ไทยเข้มงวดปล่อยสินเชื่อมากเกินไป ไม่ช่วยหนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการปรับปรุงภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งในส่วนของอัตราภาษี และความเหมาะสม ให้เกิดความครอบคลุม รวมทั้งเงื่อนไขต่างๆ ซึ่งจะมีการหารือร่วมกันกับภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผลในเชิงบวกต่อภาคเอกชนและภาคประชาชนให้มากที่สุด
“ การเปรับปรุงอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่มองว่าภาวะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันยังขยายตัวไม่ดีนัก และยังอ่อนแอดังนั้นอัตราภาษีไม่ว่าจะเป็นภาษีที่ดินฯ หรือภาษีอื่นๆ อะไรที่ปรับก็ต้องปรับ อะไรที่ควรเพิ่มเติมก็ต้องเพิ่ม แต่ภาษีต้องไม่เป็นภาระและซ้ำเติมประชาชน รวมทั้งเศรษฐกิจด้วย” นายเผ่าภูมิกล่าว
ส่วนที่ภาคอสังหาฯเรียกร้องให้ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือธอปท.ต่ออายุมาตรการผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย(LTV) ที่จะหมดอายุในวันที่ 31 ธ.ค.2565 นั้น คลังก็ได้มีการหารือในเรื่องหนีกับธปท.อย่างต่อเนื่อง แม้ขณะนี้ธปท.ยังไม่เห็นด้วย แต่คลังก็จะหารือต่อไป รวมถึงมาตรการทางสินเชื่อของสถาบันการเงินด้วย เพราะเรามองว่า ต้องมีมาตรการเพื่อมาสนับสนุนภาคอสังหาฯของไทยให้ขยายตัวต่อไปได้ เพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปีนิ้
“อยากให้มองว่า เราไม่สามารถมองในมิติเดียวว่า การปล่อยสินเชื่อประชาชนจะไปก่อหนี้ หรือจะทำให้ระดับหนี้ครัวเรือนสูงขึ้นเพียวงอย่างเดียว แต่เราต้องมองในแง่ผลบวกต่อเศรษฐกิจด้วย ซึ่งเรามีความจำเป็นที่ต้องให้ความสำคัญต่อการระมัดระวังความเสี่ยง แต่จะต้องไม่ไปกระทบการเติบโต หรือการพัฒนาของเศรษฐกิจ” นายเผ่าภูมิกล่าว
ส่วนสถานการณ์ที่อยู่อาศัยเหลือขายจำนวนมากนั้น รัฐบาลก็เห็นว่า เป็นอีกหนึ่งปัญหาของประเทศไทย โดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงโควิด ที่ซัพพลาย ทั้งในแนวราบ และแนวสูง ที่มีจำนวนเหลือขายค่อยข้างสูงขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ได้ดี ทำให้คนไม่มีกำลังซื้อ ซึ่งตอนนี้เรื่องของซัพพลายก็มีการปรับตัวมากขึ้น เมื่อซัพพลายเดิมยังมีอยู่ ก็ต้องปรับซัพพลายใหม่ให้ลดลงเพื่อเกิดความสมดุลกับกำลังซื้อที่แท้จริงของประชาชน
อย่างไรก็ตามภาครัฐไม่ควรไปแตะ กลไกลตลาด ระหว่างการปรับตัวของซัพพลายกับดีมานเพื่อให้มันขยายตัวเท่ากัน ต้องปล่อให้เป็นไปตามธรรมชาติ รัฐเพียงช่วยอำนวยความสะดวกให้กลไกลเหล่านี้ทำงานได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เราจึงจำเป็นต้องมีมาตรการทางภาษี เพื่อเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชน และมีมาตรการทางการเงินเพื่อเข้าไปช่วยประชาชน
นอกจากนี้ ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ยังเป็นอีกปัญหาวงการอสังหาฯ และเป็นปัญหาภาพรวมของเศรษฐกิจไทยด้วย เพราะสถาบันการเงินไทยค่อนข้างระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ ขณะที่แบงก์เองก็มีสถานะการเงินที่มีความแข็งแกร่งมาก แต่ยังทำหน้าที่เป็นกลไกลที่ดีพอในการช่วยผลักดันเศรษฐกิจ ดังนั้นต้องพัฒนา ให้มีการสนับสนุนเศรษฐกิจ ด้วยการเปิดรับความเสี่ยง เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงสินเชื่อ ภาคธุรกิจเข้าถึงเงินทุนได้มากขึ้น
“ต้องคุยกันเพื่อหาจุดสมดุลระหว่างเสถียรภาพ กับศักยภาพเศรษฐกิจ แม้มีเสถียรภาพแต่ไม่มีศักยภาพก็ไม่เป็นประโยชน์กับประเทศ หรือศักยภาพโตเร็ว แต่ขาดเสถียรภาพเศรษฐกิจประเทศก็จะเสียหาย ดังนั้นตรงนี้ต้องทำให้สมดุลกัน เพเราะปัจจุบันมองว่า ไม่สมดุลกัน เพราะยังอิงเสถียรภาพมากกว่าศักยภาพมากเกินไป”นายเผ่าภูมิ กล่าว
ทั้ง ในปี 2567 รัฐบาลได้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่เป็นมาตรการด้านภาษี และมาตรการเงิน โดยมาตรการด้านภาษี ประกอบด้วย 5 มาตรการ
1. “ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้ที่จ่ายเป็นดอกเบี้ยกู้ยืม” สำหรับการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย ไม่เกิน 100,000 บาท เพื่อบรรเทาภาระของผู้มีเงินได้
2. “การลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง” ร้อยละ 90 ของภาษีที่ต้องเสียให้แก่ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างของผู้ประกอบการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ไม่เกิน 3 ปี เพื่อบรรเทาภาระภาษีให้แก่ผู้ประกอบการระหว่างการก่อสร้าง
3. “การยกเว้นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง” สำหรับทรัพย์ส่วนกลางที่มีไว้เพื่อใช้ร่วมกันสำหรับเจ้าของร่วมตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด ที่ดินอันเป็นสาธารณูปโภคตามกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดิน และกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
4. “การขยายเวลาจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง” สำหรับการจัดเก็บภาษีที่ดินฯ ในปี 2567 เป็นการทั่วไปออกไปอีก 2 เดือน
5. “มาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย” ลดค่าจดทะเบียนการโอนจากร้อยละ 2 เหลือร้อยละ 1 และลดค่าจดทะเบียนการจำนองจากร้อยละ 1 เหลือร้อยละ 0.01 ที่จดทะเบียนในปี 2567
มาตรการทางการเงิน ประกอบด้วย 2 มาตรการ
1. “โครงการบ้านล้านหลัง” สนับสนุนประชาชนให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในราคาที่ไม่สูง โดย ธอส. สนับสนุนสินเชื่อผ่อนปรน วงเงิน 20,000 ล้านบาท วงเงินกู้ต่อรายไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 40 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 3 ต่อปี เป็นเวลา 5 ปี
2. “โครงการสินเชื่อ Happy Life” สนับสนุนให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง วงเงินกู้ต่อรายตั้งแต่ 2.5 ล้านบาทขึ้นไป ระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 40 ปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี อยู่ที่ร้อยละ 2.98 ต่อปี ดอกเบี้ยต่ำที่สุดในปีแรกที่ร้อยละ 1.95 ต่อปี


