posttoday

ฮั่วเซ่งเฮงมองราคาทองสัปดาห์นี้ปรับลงต่อเจอแนวต้านสูงสุด 2,060 ดอลลาร์

05 กุมภาพันธ์ 2567

ฮั่วเซ่งเฮงมองราคาทองสัปดาห์นี้ปรับลงต่อเจอแนวต้านสูงสุด 2,060 ดอลลาร์ทองแท่งไม่ผ่าน 34,500 บาท จับตาสหรัฐเสี่ยงเผชิญเสี่ยงจากทั้งศึกในจากเท็กซัสต้องการแยกตัวและศึกนอกจากสงครามตะวันออกกลาง ขณะที่ผลสำรวจศูนย์วิจัยมองสวนราคาทองขึ้น

 

ฮั่วเซ่งเฮงให้มุมมองราคาทองสัปดาห์นี้ว่าจะปรับตัวลงได้ต่อ โดยราคาทองคำมีแนวรับอยู่ที่  2,030 ดอลลาร์ และ 2,010 ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้าน 2,055 ดอลลาร์ และแนวต้าน 2,060 ดอลลาร์ ส่วนราคาทองแท่งในประเทศมีแนวรับ 34,150 บาท และ 34,000 บาท ขณะที่มีแนวต้านที่ 34,400 บาท และ 34,500 บาท

สำหรับปัจจัยที่จะหนุนทิศทางราคาทองสัปดาห์นี้คือ ภาวะเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ สงครามยูเครน-รัสเซีย สงครามอิสราเอล-ฮามาส และธนาคารกลางทั่วโลกเข้าซื้อทองคำต่อเนื่อง ขณะที่มีปัจจัยลบคือความต้องการทองคำจากจีนลดลง จากเศรษฐกิจจีนที่คาดเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลงในปีนี้ และเฟดอาจจะตรึงดอกเบี้ยระดับสูงนานขึ้น

อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์ความตีงเครียดในตะวันออกกลาง ยิ่งนานวันก็ยิ่งมีความเสี่ยงที่อาจทำให้สหรัฐต้องเผชิญหน้ากับอิหร่าน จึงอาจนำไปสู่สงครามขยายวงกว้างมากขึ้น จากที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำลังเผชิญแรงกดดันทางการเมืองอย่างหนักจากรัฐสภาให้เปิดศึกตอบโต้อิหร่าน หลังจากที่กลุ่มติดอาวุธที่ได้รับสนันสนุนจากอิหร่านส่งโดรนโจมตีฐานทัพสหรัฐในจอร์แดน

ขณะที่สหรัฐยังต้องเผชิญกับศึกใน ไม่ใช่แค่ความขัดแย้งทางการเมืองเท่านั้น ยังมีประเด็นที่รัฐเท็กซัสต้องการที่จะแยกตัวจากสหรัฐ ด้วยสาเหตุจากปัญหาผู้อพยพ หลังจากรัฐบาลโดยเฉพาะภายใต้บริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ให้รัฐเท็กซัสเปิดรับผู้อพยพเข้ามาอยู่อาศัยและให้สัญชาติ

ทั้งนี้ฮั่วเซ่งเฮงมองว่าเป็นการสร้างฐานเสียงของพรรคเดโมแครตมากยิ่งขึ้น ซึ่งข้อมูลปี 2566 ระบุถึงหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองสหรัฐ (U.S. Border Patrol) ได้มีรายงานจับกุมผู้อพยพที่ผิดกฎหมายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2.4 ล้านครั้งที่ชายแดนตะวันตกเฉียงใต้ ขณะที่สำนักงานของผู้ว่ากลางรัฐได้รับการสนับสนุนจากรัฐต่างๆอีก 25 รัฐ ที่อยู่ในสังกัดพรรครีพับลิกัน ก็ได้ออกมาซัพพอร์ตการยืนหยัดงัดกับรัฐบาลกลางเกี่ยวกับความขัดแย้งด้านพรมแดน ซึ่งอาจนำไปสู่จุดเริ่มต้นของความแตกแยกของอเมริกาในรอบหลาย 10 ปี ซึ่งจะสะท้อนจุดยืนของสหรัฐที่มีต่อเวทีโลกว่ากำลังอ่อนแอ

ส่วนทางด้านศาลฐีกา (Supreme court) ของรัฐบาลกลางสหรัฐได้ทำการอนุญาติให้เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลางเข้าไปรื้อถอนรั้วหรือลวดหนามที่อยู่บริเวณชายแดนระหว่างรัฐเท็กซัสกับเม็กซิโก ที่รัฐบาลกับรัฐเท็กซัสสร้างไว้เพื่อป้องกันผู้อพยพข้ามชายแดนอย่างผิดกฎหมาย ทำให้ชาวเท็กซัสมีความไม่พอใจเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตามผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น หากรัฐเท็กซัสแยกตัวเป็นเอกราชนั้น พบว่าแค่รัฐเท็กซัสรัฐเดียว ก็มีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 2 ของประเทศ ซึ่งใหญ่พอ ๆ กับ GDP ของอิตาลีทั้งประเทศ ซึ่งเป็นรองแค่รัฐแคลิฟอร์เนีย และยังมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก หากนำรัฐเท็กซัสมาเปรียบเทียบกับประเทศไทย ก็จะมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่าประมาณ 4.36 เท่า และหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญก็คือ อุตสาหกรรมน้ำมัน ที่มีการผลิตกว่า 40% ของประเทศ และได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งพลังงานของโลก

ถ้ารัฐเท็กซัสแยกตัวเป็นประเทศ ก็ถือว่าเป็นประเทศที่ผลิตน้ำมันมากที่สุดลำดับที่ 4 โลก เท่ากับประเทศอิรักในปัจจุบัน ปัญหาก็คือ รายได้ของสหรัฐส่วนหนึ่งก็มาจากรัฐเท็กซัส ซึ่งตอนนี้สหรัฐก็เผชิญหนี้สาธารณะสูงมาก (ปัจจุบันอยู่ที่ 34.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งอาจทำให้รายได้ลดลง รายจ่ายมากขึ้น รวมถึงอาจทำให้สหรัฐที่เป็นประเทศมหาอำนาจต่อเวทีโลกอ่อนแอลง เงินดอลลาร์สหรัฐด้อยค่าลง

ทั้งนี้ฮั่วเซ่งเฮงมีมุมมองว่า การที่รัฐเท็กซัสจแยกตัวจากสหรัฐมีความเป็นได้ค่อนข้างยาก ในแง่รัฐธรรมนูญ ศาลฐีกาเคยให้คำตัดสินว่า สหรัฐถือว่าเป็นรัฐที่มีความเป็นเอกภาพ การที่รัฐใดรัฐหนึ่งจะขอแยกตัวเองนั้น ต้องได้รับอนุญาติทั้งสองฝ่าย ทั้งฝั่งเท็กซัสและฝั่งรัฐบาลกลาง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะถูกขัดขวางจากฝั่งรัฐบาลกลาง

ดังนั้นจึงมีมุมมองว่าเป็นเพียงประเด็นทางการเมืองมากกว่า โดยเฉพาะปีนี้จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 5 พ.ย. ซึ่งนายโดนัลด์ ทรัมป์ได้ชนะในการเลือกตั้งในรัฐ Lowa และมีความเป็นไปได้ว่านายโดนัลด์ ทรัมป์จะมีโอกาสได้รับให้เป็นตัวแทนของพรรค แข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธานาธิบดีสหรัฐ แล้วตอนนี้คะแนนความนิยมของนายโดนัลด์ ทรัมป์มากกว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน การที่รัฐที่เป็นฐานเสียงพรรครีพับลิกันสนับสนุนให้รัฐเท็กซัสแยกตัว เหมือนสร้างประเด็นด้านการเมืองให้ความนิยมของประธานาธิบดีโจ ไบเดน หรือพรรคแดโมแครตยิ่งลดลง

ผลสำรวจมุมมองต่อทิศทางราคาทองคำในประเทศรายสัปดาห์ระหว่างวันที่ 5 – 9 ก.พ. 2567 จากการสำรวจ GRC Gold Survey โดย ศูนย์วิจัยทองคำระบุว่า 14 ผู้เชี่ยวชาญในตลาดทองคำที่ได้มีส่วนร่วมตอบแบบสำรวจ ในจำนวนนี้มี 7 ราย หรือเทียบเป็น 50% คาดว่าราคาทองคำในสัปดาห์หน้าจะปรับเพิ่มขึ้น ส่วนจำนวน 2 ราย หรือเทียบเป็น 14% คาดว่าราคาทองคำจะลดลง และ จำนวน 5 ราย หรือเทียบเป็น 36% คาดว่าราคาทองคำจะใกล้เคียงกับสัปดาห์ที่ผ่านมา

สำหรับนักลงทุนทองคำ ได้เข้าร่วมตอบแบบสำรวจ จำนวน 311 ราย ในจำนวนนี้มี 166 ราย หรือเทียบเป็น 53% คาดว่าราคาทองคำในประเทศของสัปดาห์หน้าจะปรับเพิ่มขึ้น ส่วนจำนวน 78 ราย หรือเทียบเป็น 25% คาดว่าราคาทองคำจะลดลง และ จำนวน 67 ราย หรือเทียบเป็น 22% คาดว่าราคาทองคำจะใกล้เคียงกับสัปดาห์ที่ผ่านมา

สถานการณ์ราคาทองคำ

ราคาทองคำแท่งในประเทศ 96.5% ตามประกาศ สมาคมค้าทองคำ ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 34,050 – 34,350 บาท ต่อบาททองคำ โดยราคาทองคำปิดอยู่ที่ระดับ 34,350 บาท ต่อบาททองคำ เพิ่มขึ้น 250 เมื่อเปรียบเทียบกับราคาปิดของสัปดาห์ก่อนหน้า (สัปดาห์ก่อนหน้าปิดที่ 34,100 บาท) ดูรายงาน GRC ฉบับก่อนหน้า

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

1. สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง โดยสหรัฐฯ และอิหร่านมีความเสี่ยงที่จะเผชิญหน้าทางทหารโดยตรง หลังกลุ่มติดอาวุธที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านส่งโดรนโจมตีฐานทัพสหรัฐฯ ในจอร์แดน อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า กำลังมีการเจรจาข้อตกลงพักรบระหว่างอิสราเอล กับกลุ่มฮามาส รวมถึงการปล่อยตัวประกันที่ถูกกลุ่มฮามาสจับไว้ โดยข้อตกลงนี้อาจเป็นก้าวสำคัญในการยุติความขัดแย้ง

2. การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย ในวันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 เพื่อกำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยอาจส่งสัญญาณพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

3. รายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่  ดัชนี ISM/PMI ภาคบริการของเดือน มกราคม 2567 และตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

GRC Gold Survey 5-9 Feb 2024