posttoday

"เศรษฐา" ประกาศแพ็กเกจแก้หนี้ทั้งระบบ ปลดล็อกคนไทยกว่า 10.3 ล้านราย

12 ธันวาคม 2566

นายกฯ นำทีมคิกออฟแพ็กเกจแก้หนี้ทั้งระบบ สางหนี้คนไทยกว่า 10.3 ล้านราย ครอบคลุมทั้งหนี้นอกระบบ และในระบบ 4 กลุ่มลูกหนี้ ลั่นคนไทยต้องหมดหนี้ภายในรัฐบาลชุดนี้ เชื่อหนุนเศรษฐกิจขยายตัว ประชาชนมีความเป็นอยู่ดีขึ้น

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมคณะ แถลงข่าว การจัดการหนี้ทั้งระบบ ว่า ปัญหาหนี้สิน เป็นปัญหาเรื้อรัง ทั้งหนี้นอกระบบ ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดเป็นวาระแห่งชาติแล้ว และในวันนี้ (12 ธ.ค.) การแก้ปัญหานี้ในระบบ ก็มีปัญหาไม่แพ้หนี้นอกระบบ ทั้งหนี้สินล้นพ้นตัวของประชาชน ส่งผลกระทบต่อการทำงาน เกิดเป็นหนี้เสีย จนประชาชนขาดโอกาสการประกอบอาชีพ ดังนั้น การดูแลลูกหนี้ในระบบ ก็เป็นวาระแห่งชาติเช่นเดียวกัน โดยรัฐบาล จะให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาหนี้ทั้งระบบ ทั้งการจัดการกวาดล้างหนี้นอกระบบ และการดูแลลูหนี้ในระบบให้ได้รับสินเชื่ออย่างเหมาะสมเป็นธรรม

 

นายกรัฐมนตรี ยังได้แบ่งกลุ่มลูกหนี้ออกเป็น 4 กลุ่ม เพื่อช่วยเหลือตามเหตุของปัญหา และให้สอดคล้องลักษณะลูกหนี้ ได้แก่

 

กลุ่มที่ 1 กลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ที่ชำระหนี้ดีมาโดยตลอด แต่สถานการณ์โควิด-19 ทำให้ขาดสภาพคล่อง หรือบางรายเป็นหนี้ครั้งแรกในช่วงเวลาดังกล่าว และไม่สามารถประกอบธุรกิจต่อได้ จะต้องได้รับการช่วยเหลือพักชำระหนี้ ผ่อนปรนภาระชั่วคราวสำหรับลูกหนี้รายย่อย รัฐบาลได้กำหนดให้ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. ติดตามทวงถามหนี้ตามสมควรและให้ความช่วยเหลือ เพื่อไม่ให้เป็นหนี้เสีย โดยคาดว่า จะสามารถช่วยได้ประมาณ 1,100,000 คน ส่วนลูกหนี้ที่เป็น SME และบุคคล สถาบันการเงินของรัฐจะช่วยปรับโครงสร้างหนี้ และพักหนี้ในธนาคารของรัฐ เป็นเวลา 1 ปี โดคาด่า จะสามารถช่วยได้ 99%

 

กลุ่มที่ 2 กลุ่มลูกหนี้ที่มีรายได้ประจำ แต่มีภาระหนี้จำนวนมาก เกินศักยภาพชำระหนี้ แบ่งเป็นกลุ่มย่อย ได้แก่ กลุ่มข้าราชการ ครู ตำรวจ ทหาร ฯลฯ จะได้รับความช่วยเหลือผ่านการลดดอกเบี้ยสินเชื่อ และโอนหนี้ทั้งหมดไปไว้ในที่เดียว เช่น สหกรณ์ เพื่อให้สามารถตัดเงินเดือนชำระหนี้ให้สอดคล้องกับเงินเดือนได้ และให้มีเงินเดือนเหลือสำหรับดำรงชีพ ซึ่งหากข้าราชการประสบปัญหาหนี้สินในธนาคารอื่น ๆ ให้สามารถมาปรึกษาธนาคารออมสินได้ และ ''กลุ่มหนี้บัตรเครดิต'' หากมีหนี้เสีย สามารถเข้าร่วมคลินิกแก้หนี้ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย ร่วมกับบริษัทบัตรเครดิตรายใหญ่เกือบทั้งหมด ในการปรับโครงสร้างหนี้ ด้วยการนำเงินต้นคงค้าง มาทำตารางผ่อนชำระใหม่ และลดดอกเบี้ยเหลือ 3-5% จาก 16-25% ระยะเวลาการผ่อน 10 ปี 

 

กลุ่มที่ 3 กลุ่มที่มีรายได้ไม่ได้นอนทำให้การชำระไม่ต่อเนื่อง เช่น เกษตรกร ลูกหนีเช้าซื้อ หรือ กยศ.จะได้รับการพักชำระหนี้ชั่วคราว ลดดอกเบี้ย และลดเงินผ่อนแต่ละงวด เพื่อให้สอดคล้องกับรายได้ของลูกหนี้ เช่น เกษตรกร รัฐบาลมีการโครงการพักชำระหนี้แล้ว 3 ปี, ลูกหนี้ กยศ. มีการปรับโครงสร้างหนี้ ลดดอกเบี้ย ปรับลำดับการชำระ และยกเลิกการค้ำประกัน

 

กลุ่มที่ 4 ลูกหนี้เช่าซื้อ สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค ได้มีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อ เช่น รณีการเช่าซื้อรถใหม่ ดอกเบี้ยจะต้องไม่เกิน 10% และรถจักรยานยนต์ ไม่ 23% รวมถึงให้ลดดอกเบี้ยผิดนัดชำระให้ต่ำลง และให้มีส่วนลดหากลูกหนี้ ปิดค่างวดได้ก่อนกำหนด

 

นายกรัฐมนตรี ยังระบุด้วยว่า กลุ่มหนี้เสียคงค้างระยะเวลายาวนาน จะมีการโอนหนี้ไปยังบริษัทบริหารสินทรัพย์ ที่เกิดจากสถาบันการเงินของรัฐ และบริษัทบริหารสินทรัพย์ ปรับโครงสร้างหนี้ให้คล่องตัว และคาดว่า จะสามารถช่วยลูกหนี้ได้ประมาณ 3,000,000 คน และกลุ่มลูกหนี้ที่มีปัญหาหนี้เรื้อรัง ธนาคารแห่งประเทศไทย กำหนดให้เจ้าหนี้ปรับโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับความสามารถการชำระ ลดดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียม ไม่เกิน 15% ต่อปี โดยให้ปิดบัญชีภายใน 5 ปี

 

นายกรัฐมนตรี ได้ย้ำว่า รัฐบาลได้กำหนดแนวทางการช่วยเหลือลูกหนี้หลายกลุ่มครอบคลุม พร้อมยอมรับว่า ทั้งหมดนี้ยังเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ เพื่อต่อลมหายใจให้ลูกหนี้ แต่ในระยะยาวจะต้องมีการปรับโครงสร้าง ยกระดับการให้บริการสินเชื่อให้เป็นธรรม สะท้อนความเสี่ยงลูกหนี้ มีมาตรการคุ้มครองผู้บริโภค ป้องกันปัญหาการก่อหนี้เกิดศักยภาพ โดยให้คำนวณอัตราดอกเบี้ย ตามความเสี่ยงลูกหนี้ และการผ่อนชำระ ต้องให้ลูกหนี้เหลือเพียงพอสำหรับการดำรงชีพ หรือพิจารณาการข้อมูลอื่นประกอบการปล่อยสินเชื่อ เช่น ประวัติการชำระค่าน้ำ ค่าไฟ การผลักดันให้สหกรณ์ออมทรัพย์ หรือเครดิตยูเนียน ไปยังบริษัทสินเชื่อ เพื่อให้สามารถประเมินความสามารถการชำระหนี้ของลูกหนี้ และการตัดเงินเดือนเพื่อชำระหนี้ได้อย่างเป็นธรรม

 

นายกรัฐมนตรี ยังย้ำว่า แก้ปัญหาหนี้ให้สำเร็จ และมีผลยั่งยืน ภาครัฐ และเอกชน จะต้องช่วยกัน เสริมสร้างทักษะความรู้การบริหารจัดการเงินแก่ประชาชน หรือจัดให้มีระบบการเงินชุมชน เพื่อช่วยลูกหนี้รายย่อย ลูกหนี้ กยศ.จะต้องผ่านการบริหารจัดการหนี้ บุคลากรภาครัฐบรรจุใหม่ ต้องผ่านการอบรมการเงินส่วนบุคคล และเพิ่มตัวช่วยแก่ประชาชน เช่น การให้คำแนะนำแก้หนี้ ไกล่เกลี่ยหนี้แก่ลูกหนี้ที่ต้องการความช่วยเหลือ และส่งเสริมการออม ให้ประชาชนสะสมเงินออมทุกครั้งในการใช้จ่ายสินค้า และส่งเสริมให้ประชาชนมีเงินออมหลังเกษียณ และยืนยันว่า รัฐบาลห่วงใยลูกหนี้ทุกกลุ่ม มีมาตรการระยะสั้นและระยะยาว การดำเนินการให้สำเร็จ ต้องอาศัยความร่วมมือ ทั้งลูกหนี้ และเจ้าหนี้ รวมถึงหลากหลายภาคส่วน จึงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แลทุกภาคส่วน มาร่วมกันแก้หนี้ให้จบในรัฐบาลนี้ ร่วมกันสำรวจ และซ่อมแซมกลไกเศรษฐกิจ ทำให้เศรษฐกิจประเทศ ขยายตัวต่อไปให้ได้

 

นายกรัฐมนตรี ยังชี้แจงว่า ตนไม่ได้กล่าวหาว่า การเป็นหนี้เป็นสิ่งที่ชั่วร้าย เพราะมีหนี้ดีที่นำไปจับจ่ายใช้สอย ก่อให้เกิดการหมุนเวียนในเศรษฐกิจ ดังนั้น การมีลูกหนี้ที่ดี จึงเป็นกลไกสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศโดยรวม แต่สภาพเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาทำให้เกิดข้อติดขัด จนเกิดการสะสมปัญหา ต้องได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐ ไม่สามารถปล่อยลูกหนี้เผชิญปัญหาลำพัง และถึงเวลาที่ภาครัฐต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ ให้กลับมาเป็นกลไกเศรษฐกิจที่สำคัญ

 

ทั้งนี้มาตรกรแก้หนี้ดังกล่าว คาดว่าจะช่วยคนไทยปลดหนี้ได้ กว่า 10.3 ล้านราย ครอบคลุมทั้งหนี้นอกระบบและในระบบ 4 กลุ่มลูกหนี้ โดยนายกฯ ประกาศว่า คนไทยต้องหมดหนี้ภายในรัฐบาลชุดนี้ และสามารถสนับหนุนเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เพิ่มขึ้น ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีมากขึ้น

 

ด้าน นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เพิ่มเติมกล่าวว่า ปัจจุบันตัวเลขหนี้ครัวเรือนทั้งระบบ ครอบคลุมอยู่ที่ 16 ล้านล้านบาท มากกว่า 90% ของจีดีพี ซึ่งในส่วนนี้รวมทั้งหนี้ของสถาบันการเงิน หนี้สหกรณ์ และหนี้กองทุนเพื่อการกู้ยืม เพื่อการศึกษา (ก.ย.ศ.)ด้วย

 

ซึ่งในส่วนบัตรเครดิตมียอดหนี้ประมาณ 5.4 หมื่นล้านบาท เป็นเคสที่กำลังเป็นปัญหาหนี้เสียราว 6.7 พันล้านบาท หรือ 23.8 ล้านใบ โดยเป็นกลุ่มที่น่าเป็นห่วงประมาณ 1.1 ล้านใบ และกลุ่มที่มีปัญหาแล้วประมาณ 5 ล้านคน หรือ 12 ล้านบัญชี ที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ  ซึ่งจะมีมาตรการออกมาในการแก้ปัญหาโดยการเข้าโครงการลดดอกเบี้ยลงเหลือ 3 – 5% สำหรับคนที่ไม่มีกำลังจ่ายได้