คลัง ชี้หนี้ครัวเรือนสูง-การลงทุนรัฐต่ำ ฉุดเศรษฐกิจไทยโตไม่เต็มศักยภาพ
รมช.คลัง ชี้ 3 ปัจจัยเสี่ยง ความขัดแย้งด้านภูมิศาสตร์-การลงทุนภาครัฐอยู่ในระดับต่ำ-ระดับหนี้ครัวเรือนสูง ฉุดเศรษฐกิจไทยโตได้ไม่เต็มศักยภาพ ต้องเร่งกระตุ้นระยะสั้น ผ่านการบริโภค-เดินหน้าลงทุนภาครัฐ-เอกชน เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันด้วยเทคโนโลยี
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รมช.กระทรวงการคลัง กล่าวในงาน เสวนา “ปากท้องคนไทยจะเป็นอย่างไรในปี 2567” รดน้ำที่ราก เพื่อให้ต้นไม้งอกงามทั้งต้น ซึ่งจัดโดย สถานีข่าว Top news ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ ว่า ทิศทางของเศรษฐกิจไทยในปี 2567 ต้องจับตาปัจจัยแวดล้อมที่มีผลต่อเศรษฐกิจ เริ่มจากเศรษฐกิจโลก ที่ทุกท่านคงจะทราบดีว่า ไอเอ็มเอฟ คาดว่า เศรษฐกิจโลกจากการทำนายปี 2566 จะเติบโตที่ 3% แต่ปี 2567 มีแนวโน้มว่าจะโตลดลงเหลือ 2.9% ต่อปี
ขณะที่หลายประเทศคู่ค้า อเมริกา จีน และญี่ปุ่นทีการเติบโตชะลอลง ประกอบค่าเงินบาททรงตัว เฉลี่ยอยู่35-36 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ เป็นสัญญาณว่า มูลค่าการค้าของไทยจะอยู่ในระดับที่ทรงตัว การที่เศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวจะมีผลทำให้ภาคการท่องเที่ยวของไทยฟื้นตัวช้าลงไปด้วย ซึ่งปัจจุบันภาคการท่องเที่ยวของไทยก็ยังไม่ได้ฟื้นตัวเหมือนช่วงก่อนโควิด ซึ่งมีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาปีละ 40 ล้านคน แต่ในปีนี้ คาดว่าจะได้ 27 ล้านคน หรือไม่เกิน 28 ล้านคน คาดว่าปีหน้าจะเป็นปีที่เราจะเริ่มฟื้นตัวใกล้เคียงก่อนโควิด ซึ่งปี 2567 คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวน่าจะได้ 34 ล้านคน
หากมาดูมุมมองในประเทศ ถือว่าเสถียรภาพเศรษฐกิจของไทยยังอยู่ในระดับที่ดี เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำกว่ากลุ่มประเทศในอาเซียน หากยังจำกันได้ปี 2565 เศรษฐกิจเผชิญเรื่องปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะราคาพลังงาน ราคาสินค้าอาหาร ปรับตัวสูงขึ้น ทำเห้กิดภาวะเงินเฟ้อทั่วโลก ซึ่งเงินเฟ้อไทยก็ปรับขึ้นสูงสุดในภูมิภาค ในช่วงกลางปี 2565 แต่อัตราเงินเฟ้อได้ปรับลดลงอย่างรวดเร็วมาอยู่ในกรอบของธนาคารแห่งประเทศไทยภายใน 7 เดือน การที่เงินเฟ้อกลับมสู่ภาวะปกติได้เร็วทำให้การจัดการเศรษฐกิจ การเงิน การคลังก็ทำให้ง่ายขึ้นเทียบกัประเทศอื่นๆที่มีปัญหาเงินเฟ้อสูงอยู่
สำหรับอัตราเงินเฟ้อ ในปี 2567 คาดว่า จะอยู่ที่ 1.5%ต่อปี ราคาน้ำมันดิบเคลื่อนไหวเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 80-90 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ใกล้เครียงกับปี 2566
“คิดว่ายังเป็นสัญญาณที่ดี จะทำให้แรงกดดันของราคาเงินเฟ้อลดลงไปด้วย อย่างไรก็ตามต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงอื่นๆอย่างใกล้ชิด ที่จะส่งผลต่อเงินเฟ้อด้วย ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยด้านภูมิอากาศ และภัยพิบัติ เพราะจะมีผลต่ออุปทาน และราคาสินค้าเกษตร และเงินเฟ้อจากมาตรการกระตุ้นการบริโภค กระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ” นายกฤษฎา กล่าว
สำหรับเสียรภาพด้านการคลัง ไม่ต้องเป็นห่วง เงินกองทุนต่อระบบสินทรัพย์เสี่ยงสถาบันการเงินของไทยอยู่ในฐานะแข็งแกร่งมาก โดย ณ สิ้นไตรมาส/2566 อยู่ที่ 19.9% สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำ ธปท.กำหนดไว้ที่ 8.5%
ส่วนระดับหนี้สาธารณะต่อจีดีพี ของไทยอยู่ 6.2% ยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง 70% ซึ่งประกอบอยู่ด้วยหลายส่วน อาทิ ส่วนหนึ่งประกอบด้วยหนี้กองทุนฟื้นฟู ตั้งแต่สมัยวิกฤตปี 2540 แฝงอยู่ด้วย ซึ่งหนี้ก้อนดังกล่าวไม่ได้เงินจากงบประมาณไปใช้คืน แต่เป็นเงินจากค่าธรรมเนียมเงินฝากที่ธปท.ได้จัดเก็บกองทุนฟื้นฟูเพื่อมาชำระหนี้ และหนี้รัฐวิสาหกิจ ปตท.เป็นต้น แต่เป็นหนี้สาธารณะที่เขาสามารถชำระเองไม่ได้เป็นภาระของรัฐบาล ดังนั้นไม่น่าเป็นห่วง
เช่นเดียวกับ เสถียรภาพด้านการคลัง ก็ยังแข็งแกร่ง โดย สิ้น ก.ย.2566 มีกว่า 5 แสนล้านบาท เงินทุนสำรองระหว่างประเทศมีประมาณ 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ดุลบัญชีเงินสะพัดก็ยังเกินดุล
สำหรับ การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2567 คาดว่าจะโตได้กว่า 3%ต่อปี ซึ่งยังไม่ได้รวมถึงมาตรการต่างๆของภารัฐ จะออกมาช่วงปลายปี หรือต้นปีหน้า โดยหลายมาตรการยังต้องรอดูถึงรูปแบบ และประสิทธิภาพของวิธีการ และประสิทธิภาพก่อน ว่าจะมีผลต่อเศรษฐกิจมากน้อยเพียงใด นอกจากนี้ยังดูเครื่องจักรตัวอื่นๆที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วย ไม่ว่าเป็นเรื่องการใช้จ่ายวของภาครัฐจากงบประมาณปี 2567 ที่ออกมาล่าช้า คาดว่าจะได้ออกมาใช้จ่ายได้ประมาณปลายเม.ย.หรือพ.ค.2567
ภาพเศรษฐกิจไทยที่เล่ามาให้เห็น ยังไม่น่าตื่นเต้นมานัก ยังอยู่ในระดับทรง ถามว่าทำไมเป็นเช่นนั้น แม้เรามีพื้นฐานดีก็ตาม ขณะที่การจัดอันดับความสามารถการแข่งขัน 64 เขตเศรษฐกิจในปี 2566 จากการจัดอันดับของ IMD ดีเกือบทุกด้าน มีประสิทธิภาพของภาครัฐอยู่ที่อันดับ 24 ประสิทธิภาพธุรกิจอยู่ที่ 23 แต่พบว่าในภาพรวมเราอยู่ที่อันดับ 30 เป็นรองเพื่อนบ้านค่อยข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นสิงค์โปร 4 มาเล 27 แม้ว่าเราจะมั่นคงพอสมควร แต่ต้องยอมรับเศรษฐกิจไทยเราไม่ได้เติบโตหวือหวามาพอสมควร
ซึ่งถามว่าเศรษฐกิจไทยเติบโตเต็มศักยภาพหรือยัง ศักยภาพก้าวเป็นประเทศมีรายได้สูงได้หรือยัง หากหันไปดูจะพบว่า เศรษฐกิจยังมีความเสี่ยงจากหลายประการ อาทิ
1.ปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิก ภาวะการเงินตึงตัว ดอกเบี้ยสูง ทำให้ภาวะเงินทุนเคลื่อนย้ายสูง เสี่ยงภายในปัจจัยการผลิต ปัจจัยความเสี่ยงโครงสร้าง เช่น การเข้าสู่ภาวะสูงวัย นำไปสู่การขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานภาคเกษตร ซึ่งส่งผลต่อการจัดเก็บรายได้ภาครัฐลดลง
2. ยังมีเรื่องของเม็ดเงินลงทุนในการลงทุนของภาครัฐ ที่เห็นว่า ลดลงอยู่ที่ 25%ต่อจีดีพี มานานกว่า 20 ปี แล้ว
3.หนี้ครัวเรือนอยู่ในดับสูง 90%ต่อจีดีพี ซึ่งก็อยู่ในความสนใจของรัฐบาลที่พยามแก้ไข โดยเตรียมจะออกมาตรการต่างๆมาแก้ไขภายในเร็วๆนี้
แม้ปัจจุบันหนี้ครัวเรือนจะอยู่ที่ระดับ 90% ของจีดีพี ส่งผลต่อการบริโภค การออม ลงทุนของครัวเรือน เมื่อรวมกับแล้งจึงไม่ต้องสงสัยทำไมเศรษฐกิจมีอัตราการเติบโตลดลงอยู่เรื่อยๆในระยะ20ปีที่ผานมาจากเคยโตได้ 5-6% หลังจากมีวิฤตต้มยำกุ้ง มาจากหลายสาเหตุ เช่น จากโควิด ดังนั้นเราต้องเร่งการเจริญเติบโตเศรษฐกิจ เช่น การกระตุ้นการบริโภคในระยะสั้น ยังต้องกระตุ้นฝั่งโครงสร้างการผลิตด้วย ซึ่งการลงทุนภาครัฐและเอกชน ต้องเป็นการเพิ่มขีดความสามารถ ศักยภาพจะได้นำพาไทยให้เติบโตก้าวผ่านความไม่แน่นอน และข้อจำกัดต่างๆ โดยอาศัยเทคโนโลยีเข้ามาช่วย รวมถึงด้านแรงงานด้วย เพื่อยกระดับหรือพลิกเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอีกขั้น


