อะไรคือจุดเด่นของไทยในความเป็น Smart City

ดร.ณัทกฤช อภิภูชยะกุล ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการพลังงาน กล่าวในวงเสวนา Session II: Smart Life in Smart City ในงานสัมมนา “POSTTODAY SMART CITY THAILAND 2024” 

จุดเด่นของประเทศไทยเมื่อเทียบกับประเทศในอาเซียนในความเป็น Smart city  คือ ความมีเสถียรภาพในระบบไฟฟ้า สิ่งนี้เป็นสิ่งหลักที่จะดึงดูดนักลงทุนเข้ามาลงทุนสร้างโรงงาน หรือว่าประกอบธุรกิจในประเทศไทย ผมมองว่าต่อให้ประเทศอื่นมีค่าไฟที่ถูกกว่าก็ตาม แต่ในมุมมองนักลงทุนการลงทุนในประเทศที่ไม่มีเสถียรภาพทางพลังงานไฟฟ้าค่าความเสียหายมันมากกว่า ส่วนตนมองว่า ความมีเสถียรภาพในระบบไฟฟ้า ระบบสายส่งในด้านพลังงานของเราอยู่ในระดับที่ดีมากๆ

ต่อคำถามว่า Smart Life จริงๆ แล้วต้องประกอบด้วยอะไรบ้างนั้น ตนมองว่า Smart Life หรือ Smart City มีความเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเป็นหลัก นำเทคโนโลนีใหม่ๆ เข้ามา เพื่อให้ชีวิตเรามีสุขภาพที่ดีขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและปลอดภัยขึ้น ปัจจัยหลักๆ ที่เราจะต้องมี Smart Life คือ ตนมองในด้านพลังงาน มองว่า การที่มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาจะมาพร้อมกับการใช้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น ซึ่งเราต้องมีระบบไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพมากขึ้นเพื่อตอบสนองต่อ Smart Life และ Smart City ในอนาคต

บทบาทขององค์กรในการผลักดันสมาร์ทซิตี้ ก็คือได้มีการผลักดันมาตรการที่เรียกว่า EV30@30 คือการเพิ่มสัดส่วนแบ่งตลาดผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้เป็น 30% ภายในปี 2030 เป็นการลงทุนทางด้านโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของรถยนต์EV ในอนาคต นโยบายนี้จะช่วยได้แน่ๆ เลยคือ การลด PM 2.5 จากท่อไอเสียรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป

และถ้าต้องให้เลือกนโยบายที่เร่งด่วนที่สุดในการพัฒนาจากภาครัฐก็คือ การส่งเสริมนโยบายที่ช่วยให้มีสถานีชาร์จรถ EV สาธารณะมากขึ้น โดยภายในปี 2030 กระทรวงพลังงานมีมาตรการจะเพิ่มหัวจ่ายสาธารณะให้ได้ 12,000 หัวจ่าย นอกจากจะช่วยในด้านเศรษฐกิจ ด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังช่วยด้านการจ้างงาน การสร้างเทคโนโลยีใหม่ และการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ขึ้นมา และก็เป็นการ Retrend - Reskill ของตลาดรถยนต์สันดาปด้วยเช่นกัน