posttoday

นักวิชาการ ชี้ “เศรษฐา” ควบเก้าอี้ขุนคลัง ปักธงลุยแจกเงินดิจิทัล

29 สิงหาคม 2566

นักวิชาการ ประเมิน “เศรษฐา” นั่งนายก ควบรมว.คลัง เพราะต้องการคุมอำนาจการใช้จ่ายของประเทศ-11 พรรคร่วม-ผลักดันนโยบายหาเสียง เรียกคะแนนความนิยมกลับคืน ชี้ บริหารราชการไม่ง่ายเหมือนธุรกิจ ที่ขับเคลื่อนด้วยกฎระเบียบ ผิดพลาดไม่ได้ เป็นที่มาดึง “กฤษฎา” มือฉมังคลังช่วยงาน

รศ.ดร. สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ กล่าวว่า  นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีความเหมาะสมหากจะควบตำแหน่งนายกฯ และรมว.คลังไปด้วย เพราะนายเศรษฐกฐามีพื้นฐานมาจากภาคธุรกิจไม่มีฐานทางการเมือง หากจะบริหารตำแหน่งนายกฯ เพียงตำแหน่งเดียวก็จะได้ดูนโยบายเพียงภาพกว้าง ดังนั้นการนั่งคุมกระทรวงคลังเองจะช่วยให้สามารถเข้าบริหาร จัดการ หรือ ตัดใจดำเนินการต่างๆ ได้ง่าย และรวดเร็วมากขึ้น 

 

ทั้งนี้ การคลัง ถือเป็นกระทรวงเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ เพระนอกจากเป็นหน่วยงานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ยังมีอำนาจหน้าที่ในการจัดเก็บรายได้ ควบคุมการเบิกจ่ายงบประมาณของประเทศ จึงเป็นหัวใจสำคัญในสนับสนุนโครงการประชานิยมทางการเมือง

 

“ในแง่การเมือง คลังเหมือนศูนย์กลางอำนาจ เป็นหน่วยงานกระตุ้น ขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ที่สำคัญยังเป็นหน่วยงานตอบสนองโครงการตามนโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทย การแก้ปัญหาความยากจน โดยอาศัยการใช้งบประมาณ ซึ่งสามารถบอกทิศทางเศรษฐกิจประเทศ และพรรคการเมือง จากการทำนโยบาย ยิ่งมีนโยบายอันตราย ลด แลก แจก แถมแบบประชานิยม หากบริหารไม่ดีจะเกิดปัญหาเสถียรภาพการคลังได้ เขาจึงต้องมาดู เพื่อควบคุมรายจ่ายทุกกระทรวง และการใช้งบฯของ 11 พรรคร่วมด้วย ถือเป็นผลประโยชน์ส่วนตัว และของพรรค ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ”รศ.ดร.สมชาย กล่าว

 

อย่างไรก็ตาม มองว่า พรรคเพื่อไทย เชื่อมั่นว่า หากอนาคตข้างหน้า รัฐบาลสามารถบริหารเศรษฐกิจประเทศให้ขยายตัวได้ดี มีนโยบายรัฐสวัสดิการ เป็นที่พึงพอใจของประชาชน พรรคเพื่อไทยจะสามารถเรียกคะแนนนิยม และความเชื่อมั่นของพรรคจากประชาชน หรือกลุ่มคนเสื้อแดงให้กลับคืนมาได้ ดังนั้นในฐานะนายกฯ และพรรคเพื่อไทย ตำแหน่งรัฐมนตรีคลังจึงสำคัญมาก 

 

ด้าน ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า การขับเคลื่อนนโยบายของพรรคจะทำได้ดี ถ้าพรรคนั้นได้เป็นคนบริหารในกระทรวงนั้นๆ ดังนั้น การที่รมว.คลัง มาจากพรรคเพื่อไทยจะผลักดันนโยบายที่หาเสียงไว้ได้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นโยบายที่ต้องการงบประมาณสูงๆ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น เป็นต้น แต่ไม่จำเป็นต้องให้นายกฯมานั่งตำแหน่งรัฐมนตรี ขอแค่คนในพรรคเดียวกันก็สามารถขับเคลื่อนงานได้

“การให้นายกฯ มานั่งรมว.คลัง อาจจะเผชิญกับปัญหางานล้นเกินด้วย เพราะว่างานนายกฯ และงานของรมว.คลังเป็นงานที่ค่อนข้างหนัก แต่คนๆเดียว ดูแลยังน่าจะใช้พลังงานมากๆ เอาแค่งานของ รมว. คลัง ก็มีงานประจำต่างๆ ที่ต้องดูแลมาก ถ้าไม่เป็นคนที่เก่งมาก่อน และไม่ได้มีทีมงานที่ดีมากๆ และมีข้าราชการคอยเข้ามาช่วย จะเดินเรื่องอะไรได้ยากมากๆ” ดร.นณริฏ กล่าว

นอกจากนี้ มองว่า นายเศรษฐา ที่มีพื้นฐานมาจากการบริหารธุรกิจ เชื่อว่ายังต้องเผชิญกับวัฒนธรรมที่ต่างกัน เรียกได้ว่า ภาคเอกชนอยากได้อะไรก็สั่งได้ เพราะมันขับเคลื่อนด้วยประสิทธิภาพ แต่ภาครัฐขับเคลื่อนด้วยกฎระเบียบต่างๆ ทั้งนี้ จำได้ว่า นายปรีดี ดาวฉาย อดีต รมว.คลัง ที่ถือว่าเป็นนักธุรกิจที่เก่ง เข้ามานั่งบริหารคลังได้ไม่กี่วัน ก็ไขก๊อกลาออกไป

 

ดังนั้น เชื่อว่า จึงเป็นอีกเหตุผลที่พรรคเพื่อไทย ดึงนาย กฤษฎา จีนะวิจารณะ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ที่เพิ่งเกษียณอายุราชการไปมาเป็นผู้ช่วยรมว.คลังรัฐ เพื่อมาช่วยงานนายเศรษฐา ซึ่งเป็นแนวเดียวกับ กรณี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รักษาการรมว.คลังในปัจจุบัน ที่เอาบุคคลที่รู้จักข้าราชการ และระบบการทำงานภาครัฐมาช่วยงาน