posttoday

ดัชนีหุ้นไทยร่วงแรง เจอเทขายหนักนำโดยกลุ่มเทค เงินบาทอ่อนค่าสุดแตะ 35.28

24 มิถุนายน 2566

ดัชนีหุ้นไทยร่วงตลอดสัปดาห์ หลังเจอแรงเทขายหนักในหุ้นหลายกลุ่มนำโดยกลุ่มเทคโนโลยี และห่วงการเมืองในประเทศส่วนเงินบาทอ่อนค่าสุดในรอบ 3 เดือนครึ่งที่ 35.28 บาทต่อดอลลาร์ฯ หลังประธานเฟดส่งสัญญาณดอกเบี้ยขาขึัน

สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท
เงินบาทอ่อนค่าผ่านแนว 35 บาทไปแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 3 เดือนครึ่งที่ 35.28 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ เงินบาทแกว่งตัวในกรอบแคบในช่วงต้นสัปดาห์ก่อนกำหนดการกล่าวสุนทรพจน์ของประธานเฟดต่อสภาคองเกรส

อย่างไรก็ดีเงินบาทอ่อนค่าลงอีกช่วงกลาง-ปลายสัปดาห์ ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ แข็งค่าขึ้น หลังจากเห็นทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น เมื่อประธานเฟดยังคงกล่าวย้ำถึงโอกาสของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปรับตัวตามที่เฟดคาดการณ์ไว้      

นอกจากนี้เงินบาทยังมีปัจจัยลบจากสัญญาณเงินทุนไหลออกของนักลงทุนต่างชาติ และทิศทางการอ่อนค่าของค่าเงินหยวน ซึ่งเผชิญแรงกดดันจากความกังวลต่อแนวโน้มที่เปราะบางของเศรษฐกิจจีน รวมถึงทางการจีนส่งสัญญาณผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติมด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ย

ในวันศุกร์ที่ 23 มิ.ย. 2566 เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 35.21 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับ 34.67 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ  ในวันศุกร์ก่อนหน้า (16 มิ.ย.)

สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 19-23 มิ.ย. 2566 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 4,913 ล้านบาท และมีสถานะเป็น Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 10,838 ล้านบาท (ขายสุทธิพันธบัตร 5,549 ล้านบาท และตราสารหนี้หมดอายุ 5,289 ล้านบาท) 

สัปดาห์ถัดไป (26-30 มิ.ย.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 34.85-35.55 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ถ้อยแถลงของประธานและเจ้าหน้าที่เฟด ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์การเมืองเครื่องชี้เศรษฐกิจและตัวเลขการส่งออกเดือนพ.ค.ของไทย

สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ยอดขายบ้านใหม่ รายได้และการใช้จ่ายส่วนบุคคล อัตราเงินเฟ้อที่วัดจาก PCE/Core PCE Price Index เดือนพ.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นและตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อในมุมมองของผู้บริโภคเดือนมิ.ย. ข้อมูลจีดีพีไตรมาส 1/66 (final) และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามดัชนี PMI เดือนมิ.ย. ของจีนด้วยเช่นกัน

สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย
ดัชนีหุ้นไทยร่วงจนปิดต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี 4 เดือน โดยหุ้นไทยปรับตัวลงตลอดสัปดาห์ท่ามกลางปัจจัยลบหลายด้าน ซึ่งในช่วงต้น-กลางสัปดาห์ บรรยากาศตลาดในภาพรวมถูกกดดัน

จากประเด็นเฉพาะของบริษัทผู้ผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ล และแรงขายหุ้นผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่แห่งหนึ่ง เนื่องจากเข้าข่ายมาตรการกำกับการซื้อขายระดับ 1 ห้ามคำนวณวงเงินซื้อขาย และ Cash Balance

อีกทั้ง ยังมีความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองในประเทศ ส่วนในช่วงปลายสัปดาห์ หุ้นไทยปรับตัวลงตามทิศทางหุ้นต่างประเทศ หลังประธานเฟดยังคงส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลัง เพื่อสกัดเงินเฟ้อ    

ในวันศุกร์ที่ 23 มิ.ย. ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,505.52 จุด ลดลง 3.45% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 40,473.82 ล้านบาท ลดลง 6.38% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 3.64% มาปิดที่ระดับ 463.22 จุด

สำหรับสัปดาห์ถัดไป (26-30 มิ.ย.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,490 และ 1,475 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,520 และ 1,545 จุด ตามลำดับ

โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขส่งออกเดือนพ.ค. ของไทย ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ทิศทางเงินทุนต่างชาติ และสถานการณ์การเมืองในประเทศ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ยอดขายบ้านใหม่ รายได้และรายจ่ายส่วนบุคคล ดัชนี PCE/Core PCE Price Index เดือนพ.ค. และตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1/66

ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนมิ.ย. (เบื้องต้น) ของยูโรโซน รวมถึงกำไรของบริษัทในภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ค. และ ดัชนี PMI เดือนมิ.ย. ของจีน

ข่าวล่าสุด

เส้นทาง “เถ้าแก่ส้ม” ร้อยล้าน ปั้นโชกุนเบตง–สายน้ำผึ้งฝางดังทั่วประเทศ