สดช.ชงงบยูโซ่ ผุด ฟรีไวไฟ-แจกแท็บเล็ต สร้างความเท่าเทียมเข้าถึงดิจิทัล

นายภุชพงค์ โนดไธสง เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  (สดช.)  เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2567 สดช.ได้ยื่นเรื่องของบประมาณจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือ กองทุนยูโซ่ ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ( สำนักงาน กสทช.)  เพื่อจัดทำโครงการฟรีไวไฟ ในชุมชนเมืองออัด  ด้วยงบประมาณ 1,500  ล้านบาท ระยะเวลาโครงการ 4 ปี หลังจากพบปัญหาชุมชนเมืองแออัดยังมีปัญหาเรื่องรายได้และไม่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ เช่นเดียวกับพื้นที่ห่างไกลของประเทศ 

ดังนั้นเพื่อสร้างความเท่าเทียมและให้ประชาชนได้เข้าถึงบริการดิจิทัล สดช.จึงได้มีการเสนอแผนไปยัง กสทช. ไปตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยที่ผ่านมา นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดีอีเอส ได้มีการหารือกับทาง กสทช.โดยมองว่า หากเป็นโครงการที่พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น อินเทอร์เน็ต ศูนย์ดิจิทัลชุมชน ฯลฯ จะใช้งบของกองทุนยูโซ่ แต่โครงการที่เป็นนวัตกรรม แพลตฟอร์มหรือซอฟต์แวร์ให้ใช้งบประมาณของ กองทุนดีอี ซึ่งได้รับการจัดสรรงบประมาณมา 15% จากเงินการประมูลคลื่นความถี่ และ เงินที่ผู้ให้บริการมือถือ ส่งรายได้เป็นรายปีให้กับ กสทช. ซึ่งเป็นจำนวนเงิน ปีละ 2,000-3,000 ล้านบาท

นายภุชพงค์  กล่าวต่อว่า  นอกจากนี้ยังมีโครงการสนับสนุนแท็บเล็ต ให้กับนักเรียนมัธยมและอาชีวศึกษา จำนวน ประมาณ 177,243 เครื่อง งบประมาณ 2,900 ล้านบาท ( รวมค่าประกัน ซ่อมแซมและค่าอินเทอร์เน็ต) ระยะเวลา 5 ปี (ปี 66-70) ซึ่งเป็นโครงการที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอมา  

โดยโครงการแจกแท็บเล็ตเกิดจากเห็นความลำบาก ของนักเรียนในช่วงโควิด-19 ระบาด ที่ไม่มีคอมพิวเตอร์ใช้เรียนหนังสือออนไลน์ แต่เมื่อโควิดคลี่คลายโครงการนี้ อาจจะเปลี่ยนรูปแบบ ให้ ศธ. รับไปจัดสรรให้เหมาะสมยังสถาบันการศึกษาต่างๆแทน โดยขณะนี้อยู่ระหว่าง รอบอร์ด กสทช. พิจารณาทั้งหมด
 
อย่างไรก็ตาม สำหรับในเรื่องโครงการโทรเวชกรรมถ้วนหน้า หรือ เทเลเฮลท์ ของ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) งบประมาณ 3,850 ล้านบาท ที่ของบประมาณจาก กองทุนยูโซ่ แต่ทางบอร์ด กสทช .ลงมติไม่อนุมัติ เนื่องจากไม่ใช่การพัฒนาโครงข่ายและเสนอให้มาของบจากกองทุนดีอี นั้น

สดช.มองว่า เป็นงบประมาณที่สูงเกือบ 4,000  ล้านบาท ในขณะที่กองทุนดีอี ต้องจัดสรรงบให้กับโครงการคลาว์ดกลางภาครัฐปีกว่า 1,000 ล้านบาท และโครงการเฮลท์ลิงค์ปีละ 1,500  ล้านบาท ทำให้มีโอกาสเป็นไปได้อยาก เนื่องจากงบประมาณที่เหลือคงไม่พอที่จะสนับสนุนได้