โฟกัสใหม่ “ล็อกซเล่ย์” เน้นงานถนัด สู่กำไรยั่งยืน
ภายใต้การบริหารงานของ “สุรช ล่ำซำ” กับเป้าหมายการโฟกัสกลุ่มธุรกิจ “ล็อกซเล่ย์” เฉพาะสิ่งที่ถนัดใน 5 กลุ่มธุรกิจ เพื่อสร้างสมดุลโครงสร้างรายได้ และลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ ทำให้ “ล็อกซเล่ย์” องค์กรที่มีขนาดใหญ่ บริหารงานแบบครอบครัว ผ่านพ้นวิกฤตมาได้
กระชับธุรกิจโฟกัสที่กำไร
“สุรช ล่ำซำ” กรรมการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวยอมรับว่า “ล็อกซเล่ย์” เป็นธุรกิจมหาชนที่ยังมีผู้ถือหุ้นในตระกูลของครอบครัว ที่ผ่านมา “ล็อกซเล่ย์” ทำธุรกิจหลากหลายมาก มีบริษัทลูกมากกว่า 30-40 บริษัท ขณะที่รายได้ไม่ได้เติบโตแบบก้าวกระโดด มีรายได้คงที่อยู่ประมาณ 14,000 -15,000 ล้านบาท เท่านั้น
ทำให้โจทย์แรกนับตั้งแต่ตนเองเข้ามารับตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2560 ก่อนจะขึ้นตำแหน่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2563 ก็คือ การหันมาโฟกัสธุรกิจเฉพาะที่เห็นว่ามีศักยภาพและเป็นสิ่งที่บุคลากรถนัดจนออกมา 5 กลุ่มธุรกิจ คือ สายธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศ,สายธุรกิจบริการ,สายธุรกิจพลังงาน,สายธุรกิจเน็ตเวิร์ค โซลูชั่นส์ และ สายธุรกิจเทรดดิ้ง
ส่วนบริษัทลูกเหลือเพียง 7 บริษัท ซึ่งถือว่าเหมาะสมแล้ว ไม่มีการเพิ่มเติมอย่างแน่นอน ประกอบด้วย Loxbit Group - กลุ่มบริษัท ล็อกซบิท จำกัด (มหาชน), ASM - บริษัท รักษาความปลอดภัย เอเอสเอ็ม แมเนจเมนท์ จำกัด,LSI - บริษัท ล็อกซเล่ย์ ซิสเต็ม อินทิเกรเตอร์ จำกัด,LPS - บริษัท ล็อกซเล่ย์ เพาเวอร์ ซิสเต็มส์ จำกัด,LET - บริษัท ล็อกซเล่ย์ อีโวลูชั่น เทคโนโลยี จำกัด,Loxley Trading - บริษัท ล็อกซเล่ย์ เทรดดิ้ง จำกัด และ Loxley Property - บริษัท ล็อกซเล่ย์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด
ทั้งนี้ เป้าหมายของ “ล็อกซเล่ย์” ก็เพื่อต้องการสร้างสมดุลของโครงสร้างรายได้และการลดความเสี่ยงจากการดำเนินธุรกิจ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่มีความผันผวนตลอดเวลา
“สุรช” เล่าย้อนให้ฟังว่า หากตอนนั้น “ล็อกซเล่ย์” ไม่ปรับโครงสร้างองค์กร ช่วงที่มีโควิด หรือแม้แต่สถานการณ์การเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป “ล็อกซเล่ย์” ก็คงฝ่าวิกฤตดังกล่าวมาไม่ได้
เนื่องจากตอนที่เขาเข้ามารับตำแหน่ง ก็ต้องประสบกับปัญหาของโครงการสายพานลำเลียงกระเป๋า ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ที่มีการเปลี่ยนแบบโครงการ ทำให้ส่งมอบล่าช้าและมีผลกระทบต่อรายได้ ทำให้รู้ว่าการทำโครงการภาครัฐนั้น ต้องโฟกัสใหม่ เพื่อให้มีรายได้ที่มั่นคง รองรับสถานการณ์ที่ผันผวนทางการเมือง
นอกจากนี้ บริษัทย่อยๆ ที่มีคนรู้จักชวนไปลงทุน ก็ไม่ได้สร้างกำไรให้บริษัท จึงจำเป็นต้องเลิกกิจการและมีการเลิกจ้างพนักงานไปกว่า 300 -400 คน
เป็นจังหวะที่โชคดีมาก ที่เราปรับโครงสร้างองค์กรได้เสร็จก่อนเกิดโควิด และธุรกิจอสังหาที่กำลังจะเริ่มก็ยังไม่มีเวลาทำเพราะมัวไปใช้เวลาในการแก้ปัญหาโครงการสายพาน ทำให้ไม่ได้ลงทุนก่อสร้าง ไม่เช่นนั้นในช่วงโควิดเราคงแย่กว่านี้ การปรับโครงสร้างทำให้เราขับเคลื่อนต่อไปได้
เพราะเมื่อประสบกับปัญหาโควิด ทำให้แต่ละธุรกิจบาลานซ์สัดส่วนรายได้ซึ่งกันและกัน แม้ว่า โควิดจะทำให้ธุรกิจการให้บริการพนักงานด้านความปลอดภัย หรือ รปภ.หยุดชะงัก ทั้งในสนามบิน และโรงแรมก็ตาม แต่ก็พบว่ากลุ่มเทรดดิ้ง สินค้าอุปโภค บริโภค เติบโตมาทดแทนกันได้
ถามว่าสิ่งที่ตั้งใจทำ สำเร็จหรือไม่ ต้องบอกว่าสำเร็จในระดับหนึ่ง ที่ผ่านมา “ล็อกซเล่ย์” เข้าไปในหลายธุรกิจที่หลายประเทศมองว่าเป็นธุรกิจที่อนาคตสดใส แต่บุคลากรของบริษัท ทำไมได้ เพราะไม่ถนัด เช่น งานก่อสร้างระบบรถไฟฟ้า ซึ่งบริษัททำมานาน และยังมีโอกาส เนื่องจากระบบรางรถไฟตามหัวเมืองยังไม่มี รัฐบาลก็มีแผนในการขยาย แต่เมื่อบุคลากรบริษัททำไม่ได้ ทำให้ต้องหยุดธุรกิจนี้ไป
“สุรช ” กล่าวว่า “ล็อกซเล่ย์” เคยมีโรงฟ้าชีวมวล ที่ จ.ปราจีนบุรี เพื่อรุกตลาดพลังงานทางเลือก แต่เมื่อทดลองทำแล้วพบว่าในตลาดมีกลุ่มผู้เล่นรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย สุดท้ายก็ต้องขายโรงไฟฟ้าทิ้ง หรือแม้แต่ธุรกิจน้ำมันจากสาหร่ายที่ “ล็อกซเล่ย์” ทำ ก็ขายหุ้นให้บางจาก ไปเรียบร้อยแล้ว เพราะไม่ใช่งานที่ถนัดทั้งสิ้น
ธุรกิจไหนที่ “ล็อกซเล่ย์” ไม่ถนัด ถ้าไม่ขายทิ้ง ก็เน้นเข้าไปถือหุ้นเท่านั้น เช่น ธุรกิจแท็กซี่ กับ ช.การช่าง,อู่ซ่อมรถ ที่ทำร่วมกับญี่ปุ่น แต่สุดท้ายไม่ตอบโจทย์คนไทย เพราะคนไทยไม่นิยมเสียเงินซ่อมรถเอง จึงเปลี่ยนไปหาลูกค้าที่เป็น กลุ่มบริษัทเช่ารถแทน เพราะเขาต้องซ่อมเพื่อนำไปขายต่อ
นอกจากนี้ธุรกิจอนาคตที่ร่วมลงทุนกับ เอ็นทีที โดโคโม โอเปอเรเตอร์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น จัดตั้ง "บริษัท โมบาย อินโนเวชั่น จำกัด" เพื่อให้บริการระบบติดตามยานพาหนะในเมืองไทย ก็ต้องพับไปเช่นกัน ด้วยเหตุผลเดิมที่บุคลากรไม่ถนัด
ส่วนธุรกิจ คอลเซ็นเตอร์ ที่ “ล็อกซเล่ย์” เติบโตมาจากการให้บริการระบบคอลเซ็นเตอร์ เคเอฟซี ก็ถูกดิสทรัปชันจากแอปพลิเคชันสั่งอาหารที่กำลังได้รับความนิยม ทำให้ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานไปในที่สุด
ปรับงานภาครัฐ ลดความผันผวนการเมือง
แม้ว่ารายได้กว่า 70% ของ “ล็อกซเล่ย์” มาจากโครงการประมูลกับภาครัฐ แต่ด้วยความผันผวนทางการเมือง และการคาดการณ์ลำบากถึงรัฐบาลใหม่ที่เข้ามาในแต่ละสมัย เช่น รัฐบาลใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น อาจส่งผลให้การพิจารณางบประมาณล่าช้า กระทบต่องานจัดซื้อ จัดจ้าง ซึ่งปกติปีงบประมาณแต่ละปีจะมีการประมูลงานต่างๆในช่วงปลายปี “ล็อกซเล่ย์” ก็จะสามารถบันทึก แบ็คล็อกในปีถัดไปได้
แต่เมื่อความไม่แน่นอนทางการเมือง และที่ผ่านมา “ล็อกซเล่ย์” เองก็ผ่านประสบการณ์ผันผวนเพราะงานโครงการรัฐมาแล้ว หลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็น โครงการรถแท็กซี่ไฟฟ้า ซึ่งตอนลงทุนครั้งแรกคาดการณ์ว่า แท็กซี่แบบเดิมจะมีอายุการใช้งาน 9-10 ปี และมั่นใจว่าจะต้องหันมาเปลี่ยนเป็นรถแท็กซี่ไฟฟ้า ทว่านายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม กลับเปลี่ยนยืดอายุการใช้งานรถแท็กซี่เป็น 13-14 ปี ทำให้ไม่มีการเปลี่ยนรถ รถแท็กซี่ไฟฟ้าที่เตรียมไว้วิ่งกว่า 80 คัน ไม่มีการใช้งาน เพราะป้ายทะเบียนแท็กซี่ เป็นป้ายควบคุมหากไม่มีการเปลี่ยนรถ ป้ายทะเบียนก็ไม่มี
การพึ่งรายได้จากโครงการประมูลงานรัฐ ทำให้รายได้เราสวิง ไปตามความผันผวนของการเมือง เราจึงต้องปรับงานภาครัฐให้เป็นงานบริการมากขึ้น
“สุรช” อธิบายถึงแนวคิดในการเปลี่ยนงานประมูลภาครัฐเป็นการบริการว่า ต้องดูในแต่ละกลุ่มว่าจะสร้างบริการได้อย่างไร ยกตัวอย่าง ล็อกซบิท ก็สามารถมองความต้องการในอนาคตของภาครัฐได้ เทรนด์ที่จะมาคือการใช้ระบบเช่า จากเดิมที่ต้องทำเอง เช่น กรมสรรพากร ก็อาจจะเปลี่ยนเป็นการจ้างบริษัทอื่นเขียนระบบให้ด้วยและจัดเก็บให้ด้วย เพื่อลดปัญหาบุคลากรภาครัฐที่ขาดแคลน
อีกตัวอย่าง คือ บริการ Tax Refund คืนภาษีซื้อสินค้าให้นักท่องเที่ยว ซึ่งพบว่า ประเทศไทยมีร้านค้าที่รับ Tax Refund เพียง 2,000 ร้านค้า เฉพาะในห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆเท่านั้น ไม่เหมือนต่างประเทศ ที่ร้านเล็กๆก็สามารถทำ Tax Refund ได้ที่ร้านเลย งานไอทีภาครัฐที่ขับเคลื่อนโดย ล็อกซบิท ต้องเดินเกมในแนวทางนี้ เน้นงานให้บริการ เก็บรายได้จากการใช้งานต่อครั้ง ซึ่งการทำงานผ่านเอกชนจะคล่องตัวกว่าราชการมาก
หรือ แม้แต่ ล็อกซเล่ย อีโวลูชั่น เอง ที่ทำเรื่องระบบคลาวด์ ก็ต้องไม่นั่งรอเพียงแค่งานประมูลอย่างเดียว นโยบายที่ให้คือ ต้องรุกตลาดคอนซูเมอร์ และกลุ่มธุรกิจมากขึ้น
การรองานประมูลอย่างเดียว มันเกี่ยวข้องกับการเมือง 100% อย่างตอนนี้กระทรวงคมนาคมก็เกียร์ว่าง งานไม่เกิด ส่วนรัฐบาลใหม่ก็คงนำงบประมาณเข้าสภาไม่ทัน การประมูลโครงการต่างๆต้องล่าช้าเป็นปีหน้า แน่นอน เราก็หวังว่าจะได้ตั้งรัฐบาลเร็ว เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้า
ชูกลยุทธ์เติบโตแบบยั่งยืน
เมื่อผ่านพ้นการบริหารงานในช่วง 5 ปีแรก ของ “สุรช” เขาเล่าว่า ปีนี้จะเป็นปีใหม่ในการเดินหน้ากลยุทธ์การเติบโตในรูปแบบ เติบโตจากความชำนาญเพื่อให้มีรายได้และกำไรแบบยั่งยืน และมั่นคงให้กับธุรกิจ โดยโฟกัสสิ่งที่ถนัดให้ชัดขึ้น รุกตลาดมากขึ้น
เริ่มจาก ธุรกิจ ASM บริษัทรักษาความปลอดภัย เป็นธุรกิจที่ “ล็อกซเล่ย์” ควบคุมได้ เพราะสามารถแข่งขันด้านราคาเพื่อขยายตลาดเพิ่มขึ้นได้ และต้องขยายตลาดให้มากกว่าการให้บริการที่สนามบิน
ขณะที่กลุ่มเทรดดิ้ง แม้ว่าในสินค้าอุปโภคและบริโภคจะเป็นกลุ่มสินค้าควบคุมราคาจากกระทรวงพาณิชย์ที่ทำให้ไม่สามารถลดราคาเพื่อแข่งขันได้แบบหวือหวา เล่นสงครามราคาไม่ได้ แต่การมองหาสินค้าใหม่ๆที่ได้รับการตอบรับดีก็จำเป็น
เช่น ล่าสุด การเป็นตัวแทนจำหน่ายน้ำปลาร้าหม่ำ ซึ่งหลังจากเข้ามาทำในธุรกิจนี้ แม้ว่าตนเองเป็นคนไม่รับประทานปลาร้า แต่ก็พบว่าเป็นตลาดที่ใหญ่มาก และมีการซื้อซ้ำบ่อยมากกว่าน้ำปลา เปรียบเทียบกับน้ำปลาที่ “ล็อกซเล่ย์” ขายมา 40 กว่าปี กับน้ำปลาร้าแค่ 6 เดือน ตอนนี้ยอดขายเท่ากันแล้ว แม้จะมีคู่แข่งในตลาดหลายรายก็ตาม แต่การเติบโตยังสามารถขยายตลาดได้อีกมาก
ขณะที่โครงการประมูลภาครัฐ นอกจากการปรับรูปแบบมาเป็นการให้บริการแล้ว ส่วนหนึ่งที่ “ล็อกซเล่ย์” มีจุดแข็งก็คือ บุคลากร ที่ทำงานเอกสารเกี่ยวกับการประมูลมาอย่างยาวนาน และมั่นใจว่า ไม่ว่าจะเปลี่ยนกี่รัฐบาล ราชการกี่ยุค ความรู้ของบุคลากร “ล็อกซเล่ย์” ที่มีความเชี่ยวชาญก็สามารถทำงานได้รื่นไหล เพราะบุคลากร “ล็อกซเล่ย์” ถนัดเรื่องงานเอกสารและทำตามทีโออาร์อย่างมาก แต่การเลือกงานประมูลนับจากนี้ “ล็อกซเล่ย์” จะดูอย่างละเอียดด้วยการตั้งคณะทำงานที่พิจารณางานประมูลขึ้นมาดูแลโดยเฉพาะ เพื่อไม่ให้งานประมูล ต้องข้องเกี่ยวกับการเมืองอย่างที่ผ่านมา
กลุ่ม LPS ล็อกซเล่ย์ เพาเวอร์ ซิสเต็มส์ ก็เน้นประมูลงานสายไฟ หลังจากที่เข้าไปสู่กลุ่มพลังงานไม่ว่าจะเป็นการสร้างโรงไฟฟ้า หรือ การผลิตน้ำมันจากสาหร่ายแล้ว ไม่สำเร็จ ก็เบนเข็มมาเน้นเรื่องสายไฟ ด้วยมองเห็นโอกาสที่ยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะแม้แต่โทรศัพท์มือถือเมื่อแบตเตอรี่หมดก็ยังต้องพึ่งพาไฟ สายไฟก็ต้องมีการเปลี่ยนใหม่ตามอายุการใช้งาน และ “ล็อกซเล่ย์” ต้องการพัฒนาตัวเองจากสายไฟตามบ้าน เป็นสายไฟแรงดันสูงระดับ 500 กิโลโวต์
ด้านธุรกิจของ ล็อกซบิท ก็มีการมองถึงอนาคตว่า เมื่อสังคมการใช้เงินไร้เงินสด มีการใช้งานผ่านโมบายล์แอปพลิเคชันมากขึ้น การขายเครื่องทั้งตู้เอทีเอ็ม และเครื่องรูดบัตรเครดิต ในแบบเดิมๆของ ล็อกซบิท ก็ต้องเปลี่ยนไปด้วย
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา นับว่าการทำงานอยู่ในเส้นทางที่กำหนด นับจากนี้ “ล็อกซเล่ย์” ต้องประเมิน วิเคราะห์ และคาดการณ์ถึงผลกระทบและเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นและอาจจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโควิด สงครามรัสเซีย ยูเครน และเรื่องการเมือง เพื่อทำให้การวางแผนธุรกิจเป็นไปตามเป้าหมายให้มีรายได้ที่เติบโตและกำไรที่ยั่งยืน


