posttoday

ดร.สมชาย คาดสูตรจับขั้ว 2 ป. ดึงเสียง ส.ว. ร่วม ปิดดีลตั้งรัฐบาล

15 พฤษภาคม 2566

รศ.ดร.สมชาย นักวิชาการเศรษฐศาสตร์การเมือง กางสูตรจับขั้วจัดตั้งรัฐบาล ชี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ส่วนตัวคาด จับมือพรรคป. ดึงเสียงส.ว.ร่วมทัพ ปิดดีลตั้งรัฐบาล มั่นใจการเมืองไม่มีเสถียรภาพไม่กระทบความมั่นใจนักลงทุนต่างชาติ แต่นโยบายขึ้นค่าแรงสูงฉุดนักลงทุนหนีแน่นอน

หลังจากปิดหีบเลือกตั้ง และผลการนับคะแนนเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ หลายสื่อ หลายสำนัก หรือแม้กระทั่งคอการเมืองต่างออกมาวิเคราะห์ดีลขั้วกันมากมาย เช่นเดียวกับสายวิชาการอย่าง  รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์ วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง ที่วิเคราะห์ และคาดการณ์ว่าจะปิดดิวจับขั้วในการจัดตั้งรัฐบาลด้วยสูตรไหนด้วย ว่า   

สูตรที่1 พรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทยเสียงรวมกันยังได้ไม่ถึง 300 เสียง ถ้ารวมกับพรรคฝ่ายค้านจะได้เพิ่มเป็น 300 กว่าเสียง แต่ยังไม่เกินกึ่งหนึ่งของสภา คือ  376 เสียงขึ้นไป จากจำนวนสมาชิก ส.ส. หรือส.ว.ทั้งหมด 750 คน ซึ่งในกรณีการจัดตั้งได้จะต้องได้เสียงจากสมาชิกวุฒิสภา(สว.) อีกจำนวน 50-60 เสียง ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำได้ 

“พรรคเพื่อไทยเองก็ต้องการเสถียรภาพของรัฐบาลที่แข็งแข็ง ขณะที่นโยบายของพรรคก้าวไกลก็มีความเข้มข้น ดังนั้นแรงกดดันต้องเกิดกับเพื่อไทยพอสมควร”  

 

สูตรที่2 พรรคที่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจับมือกับพรรคอื่น รวมให้ได้ 375 เสียง  สามารถโหวตเลือกนายกฯ โดยไม่อาศัยเสียงของสว. เรียกว่า ไฮบริด1 คือ พรรคเพื่อไทย รวมกับพรรคก้าวไกล และพรรคฝ่ายค้าน บวกกับพรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่ง แต่สูตรนี้พรรคเพื่อไทยต้องคิดหนักอีกเช่นกัน เพราะต้องมีพรรคก้าวไกลรวมอยู่ด้วยอีก จะทำได้หรือไม่ในจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากก็ต้องจับตา รวมทั้งสามารถครองสถานะรัฐบาลในอนาคตได้อย่างไร สูตรนี้ก็มีปัญหาเหมือนสูตรแรก

นอกจากนี้ ต้องจับตาดูด้วยว่า พรรคภูมิใจไทยจะพร้อมหรือไม่ที่จะร่วมรัฐบาลตามสูตรนี้ เพราะนอกจากเรื่องตำแหน่ง ก็ต้องมองถึงความมีเสถียรภาพ และความมั่นคงของรัฐบาล รวมถึงการร่วมกับพรรคก้าวไกล เพราะแม้ว่าระยะหลังทางพรรคก้าวไกลจะลดลความเข้มข้นลงไปบ้างแล้ว แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก

“แม้สูตร2 นี้จะไม่ได้พึ่งเสียง ส.ว. แต่ภาพลักษณ์ของพรรคก้าวไกล จะทำให้พรรคเพื่อไทยต้องคิดหนัก ถ้าต้องมาจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน จากก่อนเลือกตั้ง ช่วงหาเสียงก็เหมือนมีศัตรูร่วมกัน ตอนนี้ก็ต้องมาแข่งขันเหมือนแย่งชิงลูกค้ากันเอง เพื่อไทยต้องคิดถึงตัวเขาเองแล้ว สูตรนี้ก็ถือ ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ”
 

 

สูตรที่3 หรือ แบบไฮบริด 2 คือ ดึงพรรครัฐบาลของ 2 ป. คือ พรรคพลังประชารัฐ ของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และพรรครวมไทยสร้างชาติ ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ ป.ใดป.หนึ่งมาร่วมรัฐบาล เพราะคะแนนเสียงนี้จะได้จากส.ว.ด้วย และยังได้เรื่องของเสถียรภาพรัฐบาล และแรงกดดันลึกๆบ้างอย่างจะหายไป สูตรนี้ขึ้นอยู่กับ 2 ป.ด้วยว่าจะตัดสินใจทางการเมืองอย่างไร 

สูตรที่4 ที่คนพูดเยอะ แต่อาจมีความเป็นไปได้น้อย คือ การเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ที่มีเสียงรวมกันทั้งหมดประมาณไม่ถึง 200 เสียง แต่จะได้คะแนนเสียงจากส.ว.ในการจัดตั้งรัฐบาล แต่สูตรนี้จะมีปัญหาคือ จะบริหารได้อย่างไร เมื่อรัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ เพราะตอนจัดตั้งรัฐบาลไม่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่เมื่อตั้งรัฐบาลแล้วฝ่ายค้านมีเสียงข้างมาก จะสามารถเปิดสภาฯ เพื่ออภิปรายไม่วางใจเมื่อไรก็ได้ ตรงจุดนี้รัฐบาลจะอยู่ได้อย่างไร ที่สำคัญการเบิกจ่ายงบประมาณ และกม.ที่สำคัญๆ จะผ่านได้อย่างไร เพราะรัฐบาลไม่มีเถียรภาพ

“หากเกิดการพลิกขั้ว เชื่อว่าจะเกิดความไม่เห็นด้วยอย่างมาก เชื่อว่าจะมีการลงถนน เพราะเป็นการสวนมติความต้องการการเปลี่ยนแปลงประเทศของประชาชน ขณะที่อนุภาพของโซเชียลมีดีเดียจะเกิดขึ้น และจะขยายวงกว้างไปสู่การเรียกร้องนอกสภาฯ คิดว่าในสูตรที่ 4 ในปัจจุบันไม่เหมือนการเลือกตั้งในปี 2562 เพราะตอนนี้กระแสแรงมาก การจะพลิกขั้วไม่ใช่ของง่าย ถ้าเป็นพรรคเพื่อไทย ถ้าต้องการให้ตัวเองปลอดภัย ไม่มีการเกิดการสั่นสะเทือน ได้ส.ว.ด้วย แต่พรรคเพื่อไทยต้องตอบประชาชนได้ด้วย และสูตรนี้ต้องบอก 2 ป. หรือ 1 ป.ไม่เข้ามาร่วมพรรคจะยอมหรือไม่”
 
สำหรับ สูตรนี้ การหางูเห่ายากมาก เพราะหากจะหางูเห่าเพียง 20-30 คนยังพอได้ แต่ถ้าต้องการคะแนนมากว่า 250 เสียง ต้องใช้งูเห่าจำนวนมาก ขณะที่งูเห่าก็ต้องคิดว่า หากจะลงเลือกตั้งครั้งหน้าในอนาคตคะแนนเสียงของคุณจะมีปัญหาแน่นอน เพราะคุณไปร่วมพรรคที่ขัดกับมติประชาชนซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของประเทศ 

“สูตรที่ส่วนตัวมองว่า มีความเป็นไปได้ คือ กรณีที่มีพรรคร่วมรัฐบาลที่มาจากพรรค 2 ป. คือ พรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคพลังประชารัฐ และ/หรือ พรรคพลังประชารัฐ และได้คะแนนเสียงจากส.ว.”

ส่วน ผลการเลือกตั้ง และความคลุมเคลือในการจัดตั้งรัฐบาล จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน หรือภาพรวมเศรษฐกิจไทยหรือไม่นั้น รศ.ดร.สมชาย มองว่า ไม่ว่าใครมาเป็นพรรครัฐบาลก็ไม่ได้มีผลอะไรกับนักลงทุนมากนัก โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติ เพราะต่างชาติจะพิจารณาจากปัจจัยที่มีผลต่อการลงทุนในระยะยาว ไม่ได้มองเพียงเรื่อง เสถียรภาพการเมืองในประเทศ 

“เรื่องเสถียรภาพรัฐบาล ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล ไม่ใช่ประเด็นหลักของนักลงทุนต่างชาติ แต่เขาจะมองปัจจัยที่กระทบการลงทุนในระยะยาวมากกว่า ส่วนนักลงทุนไทย มองว่าหากจัดตั้งรัฐบาลล่าช้าจะทำให้การกระตุ้นเศรษฐกิจช้าลงไปด้วย แต่หากตั้งรัฐบาลได้เร็ว นโยบายต่างๆที่ให้ไว้ จะดำเนินการได้เร็วตามไปด้วย อีกส่วนหนึ่งคือ การเสียเปรียบความสามารถด้านการแข่งขันด้านค่าแรง ที่ตอนนี้ไทยได้แพ้ให้กับเวียดนามไปแล้ว ดังนั้นพรรคการเมืองบางพรรคที่มีนโยบายว่าจะขึ้นค่าแรงได้เป็นรัฐบาล จะทำให้ไทยยิ่งเสียเปรียบไปใหญ่ นโยบายนี้ จะกระทบต่อนักลงทุนมากกว่า”

ทั้งนี้ หากเทียบความสามารถการแข่งขันด้านค่าแรงกับต่างประเทศ ขณะนี้ถือว่า ไทยสูงกว่าหลายประเทศในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน  โดยเฉพาะเวียดนาม ที่ตอนนี้ความสามารถด้านการแข่งขันเราแพ้เขาไปแล้ว เพราะค่าแรงเขาต่ำกว่าเรา ถ้ามีนโยบายขึ้นค่าแรงอีก ก็ยิ่งทำให้นักลงทุนไม่มาลงทุนในไทย แต่อย่างไรก็ตามไทยยังมีจุดแข็งหลายอย่าง เช่น โครงการอีอีซี ที่เป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างชาติไม่น้อย 
 

ข่าวล่าสุด

เลิกวนลูป! ส่อง 3 เป้าหมายยอดนิยมที่คนไทยตั้งไว้ทุกต้นปี เป็นจริงได้อย่างไร?