posttoday

ศาลคดีทุจริตฯ ยกฟ้อง “กสทช.” คดี 157 กรณีมีมติรับทราบการรวม “ทรู-ดีแทค”

01 มีนาคม 2566

ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษายกฟ้อง “กสทช.” ในชั้นตรวจฟ้อง คดี 157 กรณีมีมติรับทราบการรวมธุรกิจของบริษัททรูและบริษัทดีแทค ชี้ข้อเท็จจริงพยานหลักฐานฟังไม่ได้ว่ากระทำผิดตามฟ้อง

วันนี้ 1 มี.ค.66 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางนัดฟังคำสั่งหรือคดีพิพากษา คดีระหว่าง นางสาวธนิกานต์ บำรุงศรี เป็นโจทก์ฟ้อง ศาสตราจารย์คลินิกสรณ บุญใบชัยพฤกษ์, นายต่อพงศ์ เสลานนท์, พลอากาศโทธนพันธุ์ หร่ายเจริญ, ศาสตราจารย์พิรงรอง รามสูต, รองศาสตราจารย์ศุภัช ศุภซลาศัย เป็นจำเลยที่ 1-5  เรื่องความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ (ชั้นตรวจฟ้อง)

 

คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องสรุปว่า โจทก์เป็นผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของ บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)  จึงเป็นผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคมที่ได้รับการรับรองและคุ้มครองสิทธิจากการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม หรือ กสทช. วันที่ 20 ตุลาคม 2565 จำเลยทั้งห้าร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ในคราวประชุมนัดพิเศษ ครั้งที่ 5/2565 วาระการพิจารณารายงานการรวมธุรกิจระหว่างบริษัททรูและบริษัทดีแทค   ผลการประชุมปรากฎว่า จำเลยทั้งห้ามีมติเสียงข้างมาก 3 ต่อ 2 เสียง ลงมติรับทราบการรวมธุรกิจของบริษัททรูและบริษัทดีแทค 
 

 

โดยจำเลยทั้งห้าจัดให้มีการประชุมและลงมติ โดยไม่ได้รับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนทั่วไป ไม่นำรายงานฉบับสมบูรณ์ของที่ปรึกษาต่างประเทศมาพิจารณาประกอบ และรับฟังความคิดเห็นของบริษัทที่ปรึกษาอิสระ (บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด) เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ประกาศ ระเบียบ กฎ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง จำเลยที่ 2 ไม่มีความเป็นกลางและมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับบริษัททรู จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ลงมติรับทราบเรื่องการรวมธุรกิจระหว่างบริษัททรูและบริษัทดีแทคเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ประกาศ ระเบียบ กฎ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นการมิชอบ 
 

 

การที่จำเลยที่ 3 ในฐานะประธาน กสทช. เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการ กสทช. ใช้สิทธิลงมติ 2 ครั้ง ในการประชุมวาระการพิจารณา เรื่อง การรวมธุรกิจระหว่างบริษัทรูกับบริษัทดีแทค เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ประกาศ ระเบียบ กฎ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง การที่จำเลยที่ 3 ใช้สิทธิลงมติ งดออกเสียงในการประชุมในวาระดังกล่าวเป็นการกระทำที่ผ่าฝืนตามกฎหมาย ประกาศ ระเบียบ กฎ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้องเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ การออกมาตรการเฉพาะของจำเลยทั้งห้าที่กำหนดเกี่ยวกับเรื่องการรวมธุรกิจระหว่างบริษัททรูกับบริษัทดีแทค ขัดแย้งต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าตามประมวลอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 83

 

ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิจารณาแล้วมีคำวินิจฉัยสรุปว่า พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 มาตรา 28 บัญญัติให้ กสทช. จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนทั่วไปก่อนออกระเบียบ ประกาศ หรือ คำสั่งเกี่ยวกับการกำกับดูแลการประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ที่มีผลเป็นการใช้บังคับทั่วไป แต่สำหรับกรณีการพิจารณารายงาน การรวมธุรกิจของบริษัททรูและบริษัทดีแทคเป็นการพิจารณาเพื่อมีมติหรือมีคำสั่งเกี่ยวข้องหรือผูกพันเกี่ยวกับผู้รับใบอนุญาตเฉพาะราย คือ บริษัททรูและบริษัทดีแทคเท่านั้น ไมได้มีผลบังคับเป็นการทั่วไป

 

จำเลยทั้งห้าจึงไม่มีหน้าที่ต้องจัดให้มีการรับพังความคิดเห็นของประชาชนทั่วไปและผู้มีส่วนได้เสียหลักก่อน ส่วนกรณีไม่นำรายงานฉบับสมบูรณ์ของที่ปรึกษาต่างประเทศมาพิจารณาประกอบและการรับฟังความคิดเห็นของที่ปรึกษาอิสระ จำเลยทั้งห้าปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมาย ประกาศ ระเบียบที่เกี่ยวข้องทุกประการแล้ว

 

จำเลยที่ 2 ไม่ได้มีส่วนได้เสียกับเรื่องที่พิจารณา จึงไม่มีเหตุต้องห้ามมิให้ พิจารณาเรื่องทางปกครอง ไม่ปรากฎว่ากลุ่มบริษัททรูมีพฤติการณ์แทรกแซงการทำงานของจำเลยที่ 2 จนขาดอิสระในการปฏิบัติหน้าที่กรรมการ กสทช. จำเลยที่ 2 จึงสามารถเข้าร่วมประชุม กสทช.เพื่อพิจารณาและมีมติเกี่ยวกับการรวมธุรกิจของบริษัททรูและบริษัทดีแทคได้

 

การรวมธุรกิจของบริษัททรูและบริษัทดีแทคไม่ใช่เป็นการเข้าซื้อหุ้นหรือถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 50 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของผู้รับใบอนุญาตรายอื่น หรือเข้าซื้อสินทรัพย์ทั้งหมด หรือบางส่วนเพื่อควบคุมนโยบายหรือการบริหารธุรกิจของผู้รับใบอนุญาตรายอื่น แต่เป็นการรวมธุรกิจที่บริษัทจำกัด (มหาชน) 2 บริษัทขึ้นไปควบรวมกันแล้วนำไปจดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัด (มหาชน)ขึ้นใหม่ โดยบริษัททรูและบริษัทดีแทคสิ้นสภาพจากการเป็นนิติบุคคลเดิม

 

พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 มาตรา 27 (11) และพระราชบัญญัติประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 มาตรา 21 และมาตรา 22 ไม่ได้บัญญัติให้อำนาจ กสทช. ในการพิจารณาอนุญาตหรือไม่อนุญาตรวมธุรกิจของผู้รับอนุญาตแต่อย่างใด เพียงแต่ให้อำนาจ กสทช. เฉพาะในเรื่องการกำหนดมาตรการการป้องกันการกระทำอันเป็นการผูกขาดเท่านั้น

 

และที่ผ่านมา กสทช. เคยพิจารณารายงานการรวมธุรกิจของผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมทั้งหมด 9 กรณี และ 9 กรณีดังกล่าว ได้มีการลงมติเพียงรับทราบรายงานการรวมธุรกิจของผู้รับใบอนุญาต ทั้งสิ้น ไม่มีกรณีใดที่ กสทช. มีมติอนุญาตหรือไม่อนุญาตการรวมธุรกิจแต่อย่างใด จำเลยที่ 1-2 ลงมติรับทราบรายงานการรวมธุรกิจระหว่างบริษัททรูและบริษัทดีแทคจึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ที่ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายทุกประการ

 

การประชุม กสทช. นัดพิเศษ ครั้งที่ 5/2565 วาระการพิจารณารายงานการรวมธุรกิจของบริษัททรูและบริษัทดีแทค กรณีจึงต้องบังคับตามข้อ 41 วรรคสาม ของระเบียบ กสทช.ว่าด้วยข้อบังคับการประชุม ฯ พ.ศ. 2555 โดยจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นประธานของ คณะกรรมการ กสทช.ออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเสียงเป็นเสียงชี้ขาด ทำให้การวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการ กสทช.มีเสียงของผู้เห็นด้วยว่า การรวมธุรกิจของบริษัททรูและบริษัทดีแทคไม่เป็นการถือครองธุรกิจในบริการ
ประเภทเดียวกัน การลงมติของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทำที่ถูกต้องโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว

 

พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ๆ พ.ศ. 2553 มาตรา 23 วรรคหนึ่ง กำหนดให้การประชุม การลงมติและการปฏิบัติงานของ กสทช. ให้เป็นไปตามระเบียบที่ กสทช. กำหนดระเบียบ กสทช. ว่าด้วยข้อบังคับการประชุมฯ มิได้มีข้อกำหนดให้กรรมการ กสทช. ต้องออกเสียงทุกครั้งทุกคราวที่มีการประชุม และมิได้มีข้อกำหนดเกี่ยวกับการงดออกเสียงไว้ การที่จำเลยที่ 3 งดออกเสียงในการประชุมพิจารณาการรวมธุรกิจของบริษัททรูและบริษัทดีแทค โดยไม่ปรากฎข้อเท็จจริงอื่นจึงไม่มีเหตุแห่งการที่จะพิจารณาว่าจำเลยที่ 3 กระทำการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

 

มาตรการเฉพาะที่จำเลยทั้งห้ากำหนดเกี่ยวกับเรื่องการรวมธุรกิจระหว่างบริษัททรูกับบริษัทดีแทคได้พิจารณาข้อกังวลในหลายประเด็น ได้แก่ อัตราค่าบริการและสัญญาการให้บริการการเข้าสู่ตลาดและประสิทธิภาพการแข่งขันและการสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย คุณภาพการให้บริการ การถือครองคลื่นความถี่ การใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน และ เศรษฐกิจของประเทศนวัตกรรมและความเหสื่อมล้ำทางดิจิตอลเป็นการกระทำที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์และบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 (มาตรา 77) วรรคสาม ทั้งยังเป็นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรขึ้นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 มาตรา 27 (11) และพระราชบัญญัติ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 มาตรา 21-22

 

ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ปรากฎในสำนวนฟังไม่ได้ว่า จำเลยทั้งห้ากระทำผิดตามฟ้อง ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 มาตรา 6 วรรคหนึ่ง โดยไม่ต้องดำเนินกระบวนพิจารณาไต่สวนมูลฟ้องต่อไป พิพากษายกฟ้อง