posttoday

กกร.คงจีดีพีปี 66 ไว้ที่ 3-3.5% ห่วงบาทแข็งค่าสูงสุดในอาเซียน

11 มกราคม 2566

กกร.คงประมาณการจีดีพีของไทยปี 66 ไว้ที่ 3-3.5% หลังคาดว่าไตมาส 1 และ 2 การส่งออกยังติดลบ แม้เศรษฐกิจจะได้รับอานิสงส์จากภาคท่องเที่ยวจากจีน ห่วงเงินบาทแข็งค่าเร็วสุดในภูมิภาคอาเซียน หลังมีเงินทุนไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ ตั้งแต่ต้นปี จนถึงขณะนี้ กว่า 6 หมื่นล้านบาท

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยภายหลังจากประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ประจำเดือน มกราคม 2566 ว่า กกร.ยังคงอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2566 ไว้ที่ 3-3.5% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตรการเติบโตเดียวกับการประมาณการครั้งก่อนเมื่อเดือนธ.ค. 2565 แม้ว่าขณะนี้เศรษฐกิไทยจจะมีปัจจัยบวกเพิ่มเข้ามา จากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามามากขึ้น แต่การประเมิน กรร.ได้นำปัจจัยดังกล่าวเข้ามาประเมินไว้ก่อนหน้านี้แล้ว จึงทำให้การประมาณการของจีดีพีไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม 

 

เช่นเดียวกับ การขยายตัวของการส่งออกในปีนี้ กกร.ยังคงประมาณการไว้ที่ 1-2% เช่นเดิม เนื่องจากมองว่า การส่งออกไตรมาส 1และ 2 ปีนี้ ยังคงติดลบ ตามการชะตัวของเศรษฐกิจโลก และจากภาวะต้นทุนที่อยู่ในระดับสูง ทั้งราคาพลังงาน และต้นทุนดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นความท้าท้ายของภาคเอกชน ทั้งนี้ คาดว่า ส่งออกจะปรับตัวดีขึ้นได้ในช่วงไตรมาสที่ 3 และ 4 ของปีนี้ โดยทั้งปี 2566 คาดว่า การส่งออกจะเป็นบวกราว 1-2%  ขณะที่เงินเฟ้อ เฉลี่ยอยู่ที่ 2.7%-3.2% และจะค่อยๆลดลงในระยะข้างหน้า

 

สำหรับ การกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน หลังจากที่รัฐบาลจีนได้ประกาศเปิดประเทศอย่างเป็นทางการนั้น ถือว่าเป็นปัจจัยบวก ที่เร็วกว่าคาดการณ์ไว้ จากเดินคาดว่าจีนจะเปิดประเทศในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ ถือเป็นปัจจัยสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว และส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ในระยะต่อไป เพราะทุกภาคส่วนเศรษฐกิจจะได้รับอนิสงส์อย่างทั่วถึง เพราะชาวจีนมีกำลังซื้อสินค้า และบริการสูง บวกกับการที่ไม่ได้มาท่องเที่ยวในไทยนานถึง 3 ปี เมื่อมาถึงไทยก็จะมีการจับจ่ายมากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากนักท่องเที่ยวประเทศอื่นๆ เช่น ยุโรป หรือชาวตะวันตก ที่มักจะเน้นการพักผ่อนอยู่แต่ในที่พัก 

 

ทั้งนี้คาดว่า ปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาไทยสูงถึงประมาณ 20-25 ล้านคน ซึ่งสิ่งที่กังวลนอกจากปัญหาภาคการท่องเที่ยวขาดแคลนแรงงานแล้ว ยังกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวังอย่างใกล้ชิด เพราะอาจจะกระทบต่อภาคท่องเที่ยวให้สะดุดลงได้ 

 

พร้อมกันนี้ เชื่อว่าการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิดที่เข้มงวดของจีนจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป โดยคาดว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจจีนกลับมาฟื้นตัวได้มากขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป ทำให้เศรษฐกิจจีนสามารเติบโตได้ระดับ 5% ตามเป้าหมายได้ หลังจากที่โตต่ำกว่าเป้าหมายในปีที่ผ่านมา ซึ่งจะช่วยพยุงเศรษฐกิจโลกไม่ให้ชะลอตัวลงมากเกินไป ในภาวะที่เผชิญแรงกดดันจากราคาพลังงาน และต้นทุนทางการเงินสูง 

 

ด้านนายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ผู้ประกอบการมีความกังวลในเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งอย่างรวดอยู่ในขณะนี้ โดยตั้งแต่ต้นปีเงินบาทแข็งค่าสูงสุดในภูมิภาคอาเซียน  นอกจากนี้ ไทยยังได้รับปัจจัยเสริมจากการที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามามากขึ้น ทำให้มีความต้องการเงินบาทมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นไปอีก ซึ่งผลต่อความสามารถการแข่งขันด้านค่าเงินของผู้ประกอบการไทย นอกเหนือจากปัจจัยพื้นฐาน ที่ขณะนี้ค่าเงินเหรียญสหรัฐอยู่ในทิศทางอ่อนค่า ขณะเดียวกันยังมีเงินลงทุนไหลเข้ามาในตลาดตราสารหนี้ระยะสั้น(Bond อายุน้อยกว่า 1ปี) โดยตั้งแต้ต้นปีถึงขณะนี้ มีมากว่า 60,000 ล้านบาท ขณะที่มีเงินซื้อสุทธิเข้ามาในตลาดหุ้น 16,000 ล้านบาท ซึ่งกดดันให้ค่าเงินบาทแข็งค่า ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นเงินจากการเกร็งกำไรหรือไม่ 

 

ทั้งนี้ เชื่อว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) จะเข้าไปดูแลไม่ให้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนจนเกินไปเพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อผู้ส่งออกไทยในช่วงที่เศรษฐกิจยังชะลอตัว