posttoday

ดอยซิลเวอร์ส่งเครื่องเงินน่านสู่ตลาดโลก ถึงมือลูกค้าจีนผ่าน Alibaba

30 พฤศจิกายน 2565

สามีภรรยาชาติพันธุ์เย้า ก่อกิจการค้าเครื่องเงินน่านส่งขายตลาดโลก ที่วันนี้ก้าวข้ามกับดักพ่อค้าคนกลางกดราคา ส่งผลิตภัณฑ์ถึงมือลูกค้าจีนผ่าน Alibaba หวังทำรายได้แตะ 100 ล้านบาทในไม่เกิน 3 ปีข้างหน้า และไม่ทิ้งฝันปั้นแบรนด์ดอยซิลเวอร์ให้ดังในต่างแดนด้วยมือทายาท

พิมพร รุ่งรชตะวาณิช  รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ดอยซิลเวอร์ แฟคตอรี่ จำกัด ถ่ายทอดเรื่องราวก่อนจะก่อเกิดเป็นธุรกิจค้าเครื่องเงิน “ดอยซิลเวอร์” ว่า จุดเริ่มต้นมาจากบรรพบุรุษฝั่งสามี คือ สมชาย รุ่งรชตะวานิช ผู้เป็นประธานบริษัท ซึ่งเป็นชาวไทยภูเขา ที่สืบทอดการผลิตเครื่องเงินมาถึง 4 ชั่วอายุคน จนเป็นผู้ผลิตเครื่องเงินรายใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน โดยเชี่ยวชาญด้านการผลิตเครื่องเงินลายกระดูกงู ซึ่งถือเป็นลายเครื่องเงินที่ทำยากและสวยงามเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าอิวเมี่ยนหรือเย้า


ทั้งนี้ในช่วงของทายาทรุ่นที่ 3 คือคุณพ่อของสมชายเป็น 1 ใน 5 ช่างที่ได้มีโอกาสไปทำเครื่องเงินที่ศูนย์ศิลปาชีพจิตรลดา พร้อมทั้งเคยร่วมถวายงานที่พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ จ.เชียงใหม่ และพระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ จ.สกลนคร ทำให้มีประสบการณ์ทำเครื่องเงินมากขึ้น ซึ่งต่อมาพบว่าการทำเครื่องเงินเป็นชิ้นเล็ก ๆ จะทำให้ขายแก่คนทั่วไปได้ง่ายขึ้น จึงนับเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจเครื่องเงินในมือครอบครัวรุ่งรชตะวาณิช ก่อนที่จะกลายมาเป็นบริษัท ดอยซิลเวอร์ แฟคตอรี่ฯ ในปัจจุบัน
 

ทว่าจุดเปลี่ยนที่คู่สามีภรรยาแห่งดอยซิลเวอร์เห็นโอกาสที่จะสานต่อธุรกิจให้เติบโตขึ้น มาจากที่เทรนด์การใส่เครื่องประดับเงินกับชุดไทยได้รับความนิยม จนทำให้เครื่องประดับเงินจาก จ.น่าน ได้แจ้งเกิดเต็มตัวไปด้วย ทั้งคู่จึงเริ่มต้นธุรกิจเล็ก ๆ ขึ้น โดยการผลิตสร้อยข้อมือจำนวน 14 เส้นไปขายที่จ.เชียงใหม่ จึงทำให้สินค้าไปเตะตาพ่อค้าคนกลางที่มารับซื้อไปขายต่อที่ร้านนานาเครื่องเงิน กระทั่งยอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้น จึงเริ่มขยายธุรกิจและจ้างคนงานมาช่วยผลิตสินค้า

 

แต่หลังทำได้สักพักชีวิตพลิกผันอีกครั้ง เมื่อพ่อค้าคนกลางลดจนนำนวนการสั่งสินค้าลง ทั้งสองจึงตัดสินใจมาเปิดร้านดอยประดับเงินและผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ดอยประดับเงินเมื่อปี 2530 ซึ่งด้วยรายได้ที่มาจากทั้งการขายส่งและขายปลีก ทำให้กิจการมีกำไรมากขึ้น จึงขยายโรงงานจากหมู่บ้านปากกลาง อ.ปัว จ. น่าน มาเปิดโรงงานใหม่ที่บ้านน้ำโค้ง ที่เป็นบ้านเกิดของพิมพร แต่ก็ต้องใช้เวลาพัฒนาคนงานกว่า 2 ปีกว่าจะผลิตสินค้าเครื่องเงินได้อย่างเต็มที่

 

กิจการค้าเครื่องเงินในมือพิมพรและสมชาย ผ่านประสบการณ์และอุปสรรคต่าง ๆ มากมายมาตลอด โดยเฉพาะที่ต้องรับมือกับความผันผวนของราคาวัตถุดิบ หรือแม้แต่การที่ถูกพ่อค้าคนกลางกดราคาอย่างมาก จนทำให้ช่างทำเครื่องเงินจำนวนไม่น้อยต้องถอดใจ แล้วหันไปเลือกทำอาชีพอื่น จนกิจการต้องเผชิญกับปัญหาขาดแคลนแรงงานในบางช่วง ทว่าทั้งสองก็ไม่ยอมแพ้แต่เลือกพยายามมองโลกในมุมบวกและสร้างกำลังใจให้เดินหน้าต่อ

 

“ช่วงที่พ่อค้าคนกลางกดราคามากเกินไป เราก็ไม่ขาย เพราะเครื่องเงินไม่เน่าไม่เสีย ถ้าราคาขึ้นก็ค่อยขาย แล้วสุดท้ายราคาก็ขึ้นจริง ๆ ทำให้เรายังสู้ต่อได้ และพยายามดูแลช่างให้ดี เหมือนเป็นลูกหลานเราเลย เพราะธุรกิจนี้ก็มีการแย่งชิงตัวช่างฝีมือด้วยการให้ค่าจ้างสูง ๆ ด้วย หากช่างรักเราก็คงไม่หนีไปไหน”

 

ดอยซิลเวอร์ส่งเครื่องเงินน่านสู่ตลาดโลก ถึงมือลูกค้าจีนผ่าน Alibaba

 

ผลิตสินค้าส่งขาย New York


จนถึงปี 2544 ที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ เมื่อได้มีโอกาสรู้จักกับ Scott Kay ดีไซเนอร์เครื่องประดับจาก New York ผู้ที่เสาะหาแหล่งผลิตสร้อยเงินในลวดลายแบบที่ตัวเขาต้องการมาทั่วโลกแล้วแต่ก็ไม่พบ กระทั่งได้มารู้ว่าร้านดอยประดับเงินสามารถผลิตสินค้าในแบบที่ต้องการได้และมีวางจำหน่ายอยู่แล้ว 

 

จากจุดนี้เองที่ทำให้เปลี่ยนผ่านสู่การเป็นบริษัท ดอยซิลเวอร์ แฟคตอรี่ ฯ ในปี 2546 ซึ่งจะทำให้กิจการพร้อมรับจ้างผลิตเครื่องประดับเงินภายใต้แบรนด์ของ Scott Kay เพื่อส่งไปขายที่ New York โดยที่ทางบริษัทและ Scott Kay ร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ ที่ต่อยอดจากแนวทางที่บริษัทยึดมั่นในเรื่องการใช้เงินแท้เป็นวัตถุดิบผสมผสานกับรูปแบบเครื่องประดับเงินของชาติพันธุ์เย้า 


“ระยะแรกยากลำบากมาก เพราะการผลิตสินค้าขายระดับโลกต้องพัฒนาเรื่องความเข้าใจของช่างแบบดั้งเดิมให้สามารถทำงานที่ส่งไปขายต่างประเทศได้ รวมถึงมีเครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ทันสมัยจากทาง Scott Kay จัดหามาให้ใช้ เราจึงโชคดีที่ใช้เวลาเพียง 2 ปี ก็ทำให้ผลิตภัณฑ์พลิกโฉมได้เลย และพิเศษกว่าผู้ผลิตอื่น ๆ ในน่าน"

 

 
ด้วยดีไซน์ที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใครทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตให้แบรนด์ Scott Kay มียอดขายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถือว่าเป็นจุดแจ้งเกิดให้ชื่อเสียงของดอยซิลเวอร์เป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว แต่หลังจากผลิตเครื่องประดับเงินป้อนแบรนด์ Scott Kay ได้ประมาณ 10 ปี ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งเมื่อ Scott Kay เสียชีวิต แล้วทางทายาทขายกิจการต่อให้นักลงทุนอื่น ซึ่งไม่ได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพิ่ม 

 

ดังนั้น บริษัทจึงเริ่มนำผลิตภัณฑ์ เช่น สร้อยถัก ไปเสนอขายลูกค้ารายอื่น ๆ จึงทำให้ผลิตภัณฑ์ของดอยซิลเวอร์ได้ขยับขยายส่งไปขายยังพื้นที่อื่น ๆ ของทั้งในสหรัฐและแคนาดาด้วยในเวลาต่อมา ซึ่งทำให้กิจการยังเดินหน้าต่อได้และยังมีงานป้อนให้แก่ช่างของบริษัท 

 

สำหรับการบุกเบิกธุรกิจในต่างประเทศไม่ได้จบแค่เครื่องประดับเงิน แต่เมื่อ 4 ปีก่อนได้มีดีลธุรกิจรับจ้างผลิตเครื่องประดับทองคำ 18K ให้กับคู่ค้าจากอิตาลีด้วย แม้จะเป็นงานยากแต่ก็พิมพอก็มองว่าเป็นข้อดี เพราะจะได้เป็นการพัฒนาต่อยอดกิจการของบริษัท 

 

“แบรนด์เครื่องประดับจากอิตาลีรู้จักชื่อเสียงดอยซิลเวอร์จากผลิตภัณฑ์ที่เราผลิตให้ทาง Scott Kay” 

 

ทั้งนี้แม้ว่าเริ่มผลิตอะไหล่เครื่องประดับทองคำ 18 K ตั้งแต่เมื่อ 4 ปีก่อน แต่ด้วยสถานการณ์แพร่ระบาดของ Covid-19 ทำให้กระบวนที่จะผลิตสินค้าแบบครบวงจรจนเป็นผลิตภัณฑ์พร้อมวางจำหน่าย เพื่อส่งไปยังตลาดที่อิตาลีต้องชะงักไป ซึ่งคาดว่าถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงภายในปี 2566 เมื่อทางอิตาลีส่งเครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ มาพร้อมแล้ว น่าจะเริ่มพัฒนาและผลิตเครื่องประดับได้ตามที่ตั้งใจไว้

 

ดอยซิลเวอร์ส่งเครื่องเงินน่านสู่ตลาดโลก ถึงมือลูกค้าจีนผ่าน Alibaba

 

เข้าตลาดจีนผ่าน Alibaba

 

สำหรับการเปิดประตูสู่ตลาดจีน จากเดิมที่บริษัทมักเสียเปรียบจากการถูกกดราคาโดยพ่อค้าคนกลาง เมื่อซื้อเครื่องประดับเงินของดอยซิลเวอร์จำนวนมากจากสำนักงานที่เจริญกรุง ไปขายต่อแก่ลูกค้ารายย่อยในจีนนั้น บริษัทจึงเลือกที่จะนำสินค้าที่ผลิตและออกแบบเองไปขายแบบออนไลน์บนแพลตฟอร์มของ Alibaba เพื่อจะได้เขาถึงกลุ่มผู้บริโภคชาวจีนโดยตรง ตั้งแต่เมื่อเดือนตุลาคม 2565 จากการแนะนำและสนับสนุนของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย 

 

โดยตั้งเป้าว่าจะทำยอดขายเพิ่มอีก 30 ล้านบาทต่อปี สำหรับการขายผ่านแพลตฟอร์ม Alibaba ทั้งจากการขายปลีกและขายส่งแบบออนไลน์ แต่ขณะเดียวกันบริษัทก็ยังพยายามติดต่อไปขายตลาดจีนผ่านช่องทางอื่นด้วย เผื่อเปิดโอกาสใหม่ ๆ  แต่ปัจจุบันยังไม่คืบหน้ามากนัก

 

“เราคาดหวังและฝันที่จะเข้าไปตลาดจีนเพราะเป็นตลาดใหญ่ ซึ่งเรารู้ว่ามีกลุ่มคนจีนจำนวนมากที่ชอบสินค้าของเรา โดยเฉพาะพวกสร้อยถัก แต่ที่ผ่านมาถูกพ่อค้าคนกลางกดราคาสินค้ามาก” 

 

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาบริษัท ดอยซิลเวอร์ แฟคตอรี่ ฯ มีรายได้จากการส่งสินค้าไปขายในสหรัฐฯ อยู่ที่เฉลี่ย 30 ล้านบาทต่อปี แต่ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาทำรายได้รวมเฉลี่ยอยู่ที่ 80-100 ล้านบาทต่อปี ซึ่งพิมพรตั้งความหวังว่าภายใน 2-3 ปีข้างหน้า บริษัทจะสามารถทำรายได้รวมให้ถึง 100 ล้านบาทขึ้นไปทุกปี นอกจากนี้ยังต้องการพัฒนาคุณภาพและการออกแบบผลิตภัณฑ์ของดอยซิลเวอร์ให้สามารถเทียบเคียงกับสินค้าแบรนด์เนมที่ราคาสูงมากในต่างประเทศด้วย 

 

อีกฝันที่เธอเชื่อว่าจะต้องทำให้ได้ แต่อาจจะเป็นในยุคที่ทายาทอย่างลูกชายทั้งสองคือ ชัยพฤกษ์ และ วัชระ  รุ่งรชตะวาณิช มารับไม้ต่อจากพ่อแม่แล้ว นั่นคือผลักดันให้ผลิตภัณฑ์เครื่องประดับเงินแบรนด์ดอยซิลเวอร์ สามารถไปวางขายให้แก่ลูกค้ารายย่อยในต่างประเทศทั้งสหรัฐฯ และยุโรป 

 

“ปัจจุบันลูก ๆ เริ่มมาเรียนรู้งานด้านการผลิตในโรงงานและด้านการขายแล้ว เพื่อเตรียมสืบทอดกิจการต่อ คงต้องใช้เวลาฝึกฝนและเพิ่มประสบการณ์ก่อน สำหรับฝันของเราก็คงต้องฝากไว้ในมือพวกเขาแทน” 

 

พิมพรยังทิ้งท้ายถึงความภาคภูมิใจในฐานะผู้ประกอบการจากกลุ่มชาติพันธุ์อิวเมี่ยนหรือเย้าอีกว่า “รู้สึกภูมิใจที่ไม่ทิ้งภูมิปัญญาของบรรพบุรุษและยังสามารถสร้างธุรกิจที่ช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนด้วย”

ข่าวล่าสุด

บอลวันนี้ ดูบอลสด ถ่ายทอดสด โปรแกรมฟุตบอล วันอังคารที่ 16 ธ.ค. 68