YLG แนะนักลงทุนถือทองคำ 5-10% รับทิศทางขาขึ้น

นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด หรือ YLG กล่าวว่า เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เริ่มเห็นราคาทองคำมีทิศทางปรับตัวอยู่ในขาขึ้น สอดคล้องตามภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น โดยปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนที่ทิศทางทองคำในช่วงที่ผ่านมามีหลายปัจจัย ยกตัวอย่างจากสถานการณ์โควิด-19 กลับพบว่า ราคาทองคำก็ยังดี สะท้อนว่า ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนยังต้องมีถือติดไว้ เฉลี่ย 5-10% ของพอร์ต

ทั้งนี้มีผลประเมินค่าตอบแทนจากการถือทองคำ พบว่าหากนักลงทุนถือครองทองคำไว้พอร์ตจะติดลบน้อยลง เช่น ถือทองคำเฉลี่ย 10% ของพอร์ตลงทุน ก็จะติดลงน้อยลงเฉลี่ย 2% หากได้กำไรก็จะได้กำไรกลับมาเฉลี่ย1% จะเห็นได้ว่าทองคำเป็นตัวหนึ่งที่ช่วยบริหารความเสี่ยงได้ดีในสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนักลงทุนถึงควรคงทุนในทองคำ หรือต้องมีทองคำติดพอตไว้

ดังนั้น สัดส่วนที่ดีของการลงุทนคือ เฉลี่ยต้องไม่เกิน 5-10% ของพอร์ตลงทุน หรือแล้วแต่ความถนัดนของนักลงทุน โดยช่วงนี้จะเห็นได้ว่าทองคำให้ผลตอบแทนดีในช่วงภาวะเงินเฟ้อสูง จะเห็นได้ว่าหากเงินเฟ้อสูงมากกว่า 3% ผลตอบแทนจะอยู่ที่4% แต่เมื่อไรที่เงินเฟ้อต่ำกว่า 4% ผลตอบแทนของทองคำจะอยู่ที่7% เท่ากับว่า เงินเฟ้อสูงเท่าไรผลตอบแทนทองคำยิ่งดี

ในแง่ของผลตอบแทนทองคำในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่าผลตอบแทนไม่สวยงามเท่าไร จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ 50 ปีที่ผ่านมาทองคำให้ผลตอบแทบเฉลี่ยปีละ 8%  ขณะที่ 20 ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10%  แต่เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนเพียง1%กว่าๆ แม้เป็นตัวเลขที่ต่ำแต่ไม่ติดลบ ซึ่งถือว่าทองเป็นตัวหนึ่งช่วยกระจายความเสี่ยง และหากมาดูสถานการณ์ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ในช่วงที่มีสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งราคาทองคำปีนั้นปีเดียว ราคาปรับขึ้นมา25% พอระยะยาวก็ถือว่าไม่แย่นัก

นอกจากนี้ทองคำยังช่วยเรื่องสภาพคล่อง ป้องกันความเสี่ยงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่ดีนัก คนมีความกังวลก็จะมีการขายสินทรัพย์บางตัว แล้วเข้ามาถือทองคำมากขึ้น เพราะทองคำเป็นสินทรัพย์ที่สภาพคล่องสูง ถือเป็นข้อดีของนักลงทุนเพราะเราไม่ต้องกลัวว่าวันนึงจะมีรายใหญ่เข้ามาทุบราคาให้ร่วงลง หรือมาทำให้ราคาสูงขึ้นเพราะทองคำเป็นรองแค่สินทรัพย์สองตัว คือ พันธบัตร และ ดัชนีเอสแอนด์พี 500