คลังแจงลดภาษีน้ำมันดีเซลกระทบฐานะการคลังปี 65
รมว.คลัง ระบุชัดลดภาษีน้ำมันดีเซลให้ได้สุดซอย 3 บาท เพราะหากมากกว่านั้นการเก็บรายได้ประเทศมีปัญหากระทบงบประมาณปี 2565
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.การคลัง กล่าวว่า มีหลายฝ่ายถามว่าทำไมคลังเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลิตรละ 5 บาทกว่า ทำไมลดแค่ 3 บาทต่อลิตร ก็ต้องบอกว่าการลดภาษีต้องคำนึงถึง 2 ด้าน คือ การสูญเสียรายได้ ซึ่งเป็นข้อจำกัดหนึ่งของการจัดทำงบประมาณประจำปี 2565 ซึ่งจะมีเป้าหมายการจัดเก็บรายได้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงต้องดูให้สมดุลกันระหว่างกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะเข้าไปพยุง รักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน กับการเข้าไปเสริมความช่วยเหลือโดยการใช้มาตรการภาษีเพื่อบรรเทาภาระเรื่องต้นทุนการผลิต แต่เชื่อว่าปัญหาราคาพลังงานจะเป็นเรื่องระยะสั้นที่ต้องติดตาม
รมว.คลัง กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปี 2565 จะตัวได้ที่ระดับ 4% ต่อเนื่องจากปี 2564 ที่ส่งสัญญาณฟื้นตัว ดังนั้นต้องดูว่าจะทำอย่างไรไม่ให้เศรษฐกิจชะงักงัน จากปัญหาระยะสั้น ค่าครองชีพ และระดับราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งมาจากหมวดอาหาร
นอกจากนี้ยังมาจากหมวดพลังงาน ตรงนี้เป็นเรื่องที่ควบคุมลำบาก เพราะเป็นปัญหาที่ประสบกันทั่วโลก จากความขัดแย้งของรัสเซียนและยูเครน ทำให้สถานการณ์ราคาน้ำมันยังแกว่งขึ้น-ลงในระยะสั้น แต่รัฐบาลก็ได้มีการตรึงราคาน้ำมันดีเซลซึ่งเป็นต้นทุนการขนส่งและภาคการผลิตไว้ที่ 30 บาทต่อลิตร รวมถึงได้มีการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลง 3 บาทต่อลิตร เป็นเวลา 3 เดือน เพื่อช่วยเหลือในส่วนดังกล่าว
นายอาคม กล่าวว่า ในปี 2565 มีประเด็นสำคัญ 7 เรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการเพื่อรักษาการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 4%
1 การลงทุนในโครงการอีอีซี ผ่าน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย
2. เดินหน้าเศรษฐกิจใหม่ ภายใต้เศรษฐกิจดิจิทัล โดยการนำเทคโนโลยีมาใช้ทั้งในภาครัฐและภาคธุรกิจ
3. การเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศของโลกต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยรัฐบาลขับเคลื่อนผ่านนโยบานยานยนต์ไฟฟ้า
4. การปรับตัวของภาคธุรกิจเพื่อตอบรับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร จากการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย
5.การเปลี่ยนแปลงภาคการเงิน เรื่องสินทรัพย์ดิจิทัล จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น สถาบันการเงินต้องปรับตัว จะมีการกู้เงินที่ไม่ผ่านสถาบันการเงินจะมีมากขึ้น
6. การสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และสตาร์ทอัพ โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจดิจิทัล และภาคการผลิต โดยขณะนี้คลังอยู่ระหว่างออกมาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือสตาร์ทอัพด้านดิจิทัล ในเรื่องการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อส่งเสริมสตาร์ทอัพในประเทศให้เพิ่มขึ้น
7. ความยั่งยืนทางการคลัง โดยนโยบายการเงินและการคลังต้องสอดประสานกัน เพื่อให้มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้เต็มที่ รัฐบาลจำเป็นต้องพิจารณานโยบายการคลังที่ยั่งยืน การบริหารจัดการหนี้สาธารณะที่แม้จะขยายเพดานเป็น 70% ต่อจีดีพี แต่ไม่ได้หมายความว่าจะกู้เต็มเพดาน ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความจำเป็น และวิกฤติที่อาจเกิดหรือไม่เกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งการพัฒนาการคลังยั่งยืนนั้น จำเป็นต้องมองเรื่องการใช้จ่าย และการหามาซึ่งรายได้ การขยายหรือการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องคำนึง โดยประเทศไทยเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมก็ต้องมีแนวนโยบายในการปรับโครงสร้างการจัดเก็บรายได้ที่เหมาะสมในอนาคต
“เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ฟื้นตัวเร็วกว่าคาด ได้สะท้อนผ่านนโยบายการเงิน โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย ตรงนี้จะกระทบกับการเงินทั่วโลก กรณีของไทยเองการประสานนโยบายการเงินและการคลังทำได้ดีในช่วงที่ผ่านมา ส่วนคำถามต่อไปว่าเมื่อเฟดขึ้นดอกเบี้ย แล้วของไทยจะขึ้นตามด้วยไหม ตรงนี้คงต้องรอฟังทาง ธปท.” นายอาคม กล่าว


