posttoday

พิษโควิดฉุดออเดอร์เหล็ก 8 เดือนวูบ 14%

19 ตุลาคม 2563

อุตสาหกรรมเหล็กอ่วม ผลกระทบโควิด กดความต้องการใช้เหล็ก ลุ้นนโยบายจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เปิดทางใช้เหล็กไทย หวังฟื้นเศรษฐกิจได้เร็วขึ้น

นายนาวา  จันทนสุรคน   ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย  (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า  การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ความต้องการใช้เหล็กทั่วโลกปรับตัวลดลง โดยปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 1,725.1  ล้านตันลดลงจากปีก่อน 2.4%

หากจำแนกผลกระทบที่เกิดขึ้นโดยเปรียบเทียบปริมาณความต้องการใช้เหล็กปี 2563 กับปี 2562 เป็นรายประเทศ พบว่าเกือบทุกประเทศมีปริมาณความต้องการใช้เหล็กถดถอยลง ได้แก่ อิตาลี -22% อินเดีย -20% ญี่ปุ่น -19% สหรัฐอเมริกา -16% เกาหลีใต้ -8% ยกเว้นประเทศจีน ความต้องการใช้เหล็กยังมากกว่าปีก่อน ขยายตัว 8%  

สำหรับประเทศไทยในช่วง 8 เดือนแรก(ม.ค.-ส.ค.)ของปี 2563 มีปริมาณการบริโภคผลิตภัณฑ์เหล็ก 11 ล้านตัน ลดลง 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ถานการณ์ความต้องการใช้เหล็กของประเทศไทยในช่วงท้ายปี 2563 มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะมีปริมาณความต้องการใช้เหล็กทั้งปี 16.7 ล้านตัน ลดลง 10% จากปี 2562 โดยผลิตภัณฑ์เหล็กทรงแบน ลดลง 11% และผลิตภัณฑ์เหล็กทรงยาว ลดลง 9%

สำหรับวิกฤตโควิดปีนี้ ปริมาณความต้องการใช้เหล็กของประเทศไทยปี 2563 ถดถอยลง 10% แต่การฟื้นตัวจะช้าและต้องใช้เวลาหลายปี โดยคาดว่าปี 2564 ปริมาณความต้องการใช้เหล็กของประเทศไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มาก อยู่ที่ระดับ  4-5%  หรือ 17.3- 17.5 ล้านตันเท่านั้น

ดังนั้นการสนับสนุนจากภาครัฐทั้งการปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กภายใน และการส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์เหล็กที่ผลิตในประเทศ จะเป็นปัจจัยสำคัญช่วยเร่งการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศให้เร็วขึ้นได้

นายนาวา กล่าวว่า ที่ผ่านมา ส.อ.ท.ได้ผลักดันนโยบาย “Made in Thailand” และรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เห็นถึงความสำคัญของการส่งเสริมการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศไทย โดยกำหนดให้การจัดซื้อจัดจ้างพัสดุผลิตในประเทศไม่น้อยกว่า 60% ของพัสดุที่จะใช้ตามบัญชีรายชื่อที่มีไว้กับส.อ.ท.

ขณะที่งานก่อสร้างกำหนดให้ใช้เหล็กที่ผลิตในประเทศก่อนโดยต้องไม่น้อยกว่า 90% ของมูลค่าหรือปริมาณเหล็กที่ใช้ในงานก่อสร้างทั้งหมดในครั้งนั้น และหากในกรณีที่พบว่าผู้เสนอราคาต่ำสุดเป็นบุคคลธรรมดาที่ไม่ได้ถือสัญชาติไทยหรือนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ ขณะที่ผู้เสนอราคาที่เป็นบุคคลธรรมดาที่ถือสัญชาติไทยหรือนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยเสนอราคาสูงกว่ารายของต่างชาติไม่เกิน 3% ให้พิจารณาเลือกการจัดซื้อจัดจ้างกับผู้ประกอบการของไทย

นอกจากนี้ ต้องการให้ภาครัฐพิจารณาให้โครงการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (Public Private Partnership : PPP) ต่างๆ ส่งเสริมการใช้เหล็กที่ผลิตในประเทศไทยด้วยเช่นกัน เพื่อก่อให้เกิดการจ้างงานและการหมุนเวียนเศรษฐกิจภายในประเทศ