3 ทางเลือกในการจัดการกองทุนLTFที่ครบกำหนด
คอลัมน์ ตลาดนัดการเงิน โดย...กรเอก อุ่นปิติพงษา ที่ปรึกษาบริหารทรัพย์ลูกค้าบุคคลอาวุโส CFP? ธนาคารกสิกรไทย
คอลัมน์ ตลาดนัดการเงิน โดย...กรเอก อุ่นปิติพงษา ที่ปรึกษาบริหารทรัพย์ลูกค้าบุคคลอาวุโส CFP® ธนาคารกสิกรไทย
สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ปี 2562 ถือว่าเป็นปีสุดท้ายแล้วจะใช้สิทธิซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เพื่อลดหย่อนภาษีครับ ถ้าท่านมีกองทุน LTF ที่ครบกำหนดตามเงื่อนไข (สำหรับกองทุน LTF ที่ขายได้ในปีนี้ จะต้องเป็นกองทุนที่ซื้อก่อน 31 ธันวาคม 2558 เนื่องจากยังคงใช้เงื่อนไขการถือครอง 5 ปีปฏิทิน) และยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรทำอย่างไรกับกองทุน LTF ที่ครบกำหนดเหล่านี้ดี “ควรถือลงทุนต่อหรือควรขายทิ้ง” ในบทความนี้ ผมขอเสนอทางเลือกเพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจ โดยมี 3 ทางเลือกดังต่อไปนี้ครับ
ทางเลือกที่ 1 : เลือกถือ LTF หลังจากครบกำหนด
หากเราไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงิน หรือสัดส่วนการลงทุนในหุ้นยังไม่เกินระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ผู้ถือหน่วยลงทุนยังไม่จำเป็นต้องรีบขายกองทุน LTF ที่ครบกำหนดครับ เพราะการลงทุนนี้ต่อเนื่องก็เหมือนท่านกำลังลงทุนในกองทุนรวมหุ้นไทย เพราะ LTF นั้นเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นระยะยาวเป็นหลัก ซึ่งการลงทุนในระยะยาวนั้นสามารถช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุน และยังช่วยเพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดีด้วยครับ ถึงแม้ในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมาการลงทุนจะมีความผันผวนจากหลายปัจจัย แต่ข้อมูลจาก Morningstar Direct พบว่าอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยของกองทุน LTF ย้อนหลัง 5 ปี ยังให้ผลตอบแทนเป็นบวก โดยมีค่าประมาณ 4.32% ดังนั้นถ้าผู้ถือหน่วยลงทุนยังพอใจกับผลการดำเนินงานของกองทุนที่ผ่านมา เห็นว่ากองทุนยังมีนโยบายการลงทุนที่น่าสนใจ มีผลตอบแทนย้อนหลังที่ดี และมีแนวโน้มจะเติบโตต่อเนื่อง การเลือกถือ LTF ต่อหลังจากครบกำหนดเงื่อนไขก็ยังสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาวได้ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้เกิดความต่อเนื่องในการลงทุน และประหยัดค่าธรรมเนียมในการซื้อ ขาย และสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนด้วยครับ
ผู้อ่านบางท่านอาจจะสงสัยว่า ในกรณีที่สรรพากรจะไม่ต่อสิทธิลดหย่อนภาษีจากการซื้อกองทุน LTF ในปี 2563 แล้วกองทุนจะถูกปิดไหม ในกรณีนี้ ขอให้มั่นใจว่า กองทุนยังคงมีสถานะตามกฎหมายอยู่ครับ แต่ในอนาคตถ้ากองทุนมีแต่เงินไหลออก โดยไม่มีเงินใหม่ไหลเข้า กองทุนจะมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ ซึ่งในบางกรณีถ้าบริษัทจัดการฯประเมินแล้วว่าไม่คุ้มกับค่าใช้จ่าย อาจจะเสนอผู้ถือหน่วยขอให้ยุบรวมกองทุน LTF ที่มีนโยบายการลงทุนคล้ายกัน หรือในกรณีที่ต้องยกเลิกกองทุน LTF จริงๆ ก็อาจจะเปลี่ยนสภาพเป็นกองทุนรวมหุ้นทั่วไปแทนครับ ที่สำคัญคือ นักลงทุนไม่จำเป็นต้องกังวลว่าขนาดกองทุนที่เล็กลงจะทำให้ผลตอบแทนลดลง เพราะกองทุนรวมจะดีหรือไม่นั้น โดยปกติมักจะขึ้นกับนโยบายการลงทุนและฝีมือของผู้จัดการกองทุนครับ
ทางเลือกที่ 2 : ขายกองทุน LTF ที่ครบกำหนด
ผู้ถือหน่วยหลายคน เชื่อว่าหากไม่มีการต่ออายุกองทุน LTF แล้วตลาดหุ้นจะตก เพราะผู้ถือหน่วยที่มีกองทุน LTF ครบกำหนดอาจจะขายกองทุนออก และเงินลงทุนในกองทุน LTF ที่จะช่วยพยุงตลาดหุ้นจะลดลง
อย่างไรก็ตามจากข้อมูลของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) พบว่ากองทุน LTF มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ ทั้งหมด 386,689 ล้านบาท (31 พ.ค. 2562) คิดเป็นประมาณ 3% ของมูลค่าตลาดหุ้นไทยเท่านั้น จะเห็นว่ามูลค่าสินทรัพย์ของกองทุน LTF มีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับขนาดของตลาดหุ้นไทย นอกจากนี้ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีกองทุน LTF ครบกำหนดแล้วน่าจะทยอยขายหน่วยลงทุนแบบค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าจะเทขายพร้อมๆกัน ดังนั้นกองทุน LTF ที่ถูกขายออกมาจึงไม่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นลงแบบมีนัยสำคัญ
สำหรับการขายกองทุนแล้วเอาเงินที่ได้ไปทำอะไรดี ตรงนี้ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ทางการเงินของผู้อ่านแต่ละท่านครับ เช่น วางแผนท่องเที่ยว ซื้อรถยนต์ใหม่ ดาวน์บ้านหรือคอนโด แต่ที่แน่ๆคือไม่ควรนำเงินนี้ไปฝากในบัญชีออมทรัพย์ครับเพราะปัจจุบันนี้ผลตอบแทนน้อยจริงๆ หรือในกรณีที่ท่านมีภาระหนี้สินอยู่ เช่น หนี้บัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล แนะนำให้เอาเงินในส่วนนี้โปะหนี้ดีกว่า เพื่อลดภาระหนี้สินที่มีอยู่ครับ สุดท้ายถ้าท่านยังต้องการลงทุนต่อ แนะนำให้ขายแล้วนำเงินก้อนนี้มาลงทุนจัดพอร์ตใหม่ที่เหมาะกับระดับความเสี่ยงครับ
ทางเลือกที่ 3 : สับเปลี่ยนกองทุน LTF ที่ครบกำหนดเข้ากองทุนรวม RMF
สำหรับผู้อ่านบางท่านที่มักจะขายกองทุน LTF ที่ครบกำหนดออกไป แล้วนำเงินก้อนที่ได้มาวนซื้อกองทุน LTF ใหม่เพื่อจะได้สิทธิลดหย่อนในปีภาษี หลังจากนี้คงทำแบบนั้นไม่ได้อีกแล้วครับ เพราะปี 2562 นี้อาจจะเป็นปีสุดท้ายแล้ว แต่ถ้าท่านยังต้องการใช้เงินก้อนเดิมลงทุนเพื่อประหยัดภาษี ผมขอแนะนำให้ขายกองทุน LTF ครบกำหนดแล้ว นำเงินนั้นมาลงทุนต่อในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) แทนครับ เนื่องจากกองทุนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถเก็บเงินก้อนไว้ใช้ในยามเกษียณ และนอกจากนั้นยังสามารถนำเงินที่ลงทุนใช้ลดหย่อนภาษีได้เหมือนกองทุน LTF แต่กองทุน RMF มักจะถูกมองข้ามอยู่เสมอเพราะเงื่อนไขกองทุนที่ต้องลงทุนอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยนิยมซื้อ ทั้งที่จริงๆแล้วกองทุน RMF มีข้อดีเยอะมาก เนื่องจากมีทางเลือกการลงทุนที่หลากหลายกว่ากองทุน LTF ที่เน้นลงทุนในหุ้นเพียงอย่างเดียว ที่สำคัญคือขายได้แบบถูกเงื่อนไขเมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์เท่านั้น ดังนั้นการลงทุนใน RMF จึงเป็นการลงทุนเพื่อวัยเกษียณอย่างแท้จริง นอกจากช่วยทำให้นักลงทุนประหยัดภาษีเพิ่มขึ้นแล้ว ยังทำให้พอร์ตเกษียณโตขึ้นเรื่อยๆทุกปีครับ
จากทั้งหมด 3 ทางเลือกสำหรับกองทุน LTF ที่ครบ “ถือต่อ ขาย หรือสับเปลี่ยน” ทางเลือกไหนที่จะเหมาะที่สุด ก่อนอื่นเลยแนะนำให้ท่านพิจารณาจากเป้าหมายทางการเงินและการลงทุนก่อนครับ ในกรณีที่ท่านยังรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้และต้องการลงทุนต่อเนื่อง ต้องการให้หุ้นขึ้นอีกหน่อยแล้วค่อยขาย การถือกองทุน LTF ต่อหลังจากครบกำหนดแล้วก็น่าสนใจเพราะจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อขายกองทุน แต่ถ้าท่านมีเป้าหมายการเงินที่ชัดเจนว่าจะใช้เงินก้อนนี้ทำอะไร เช่น ลดภาระหนี้ แนะนำให้ขายครับ สุดท้ายถ้าท่านยังเหลือเวลาอีกหลายปีที่จะเกษียณ และปกติซื้อกองทุน RMF ไม่เต็มสิทธิ ทางเลือกในการสับเปลี่ยนกองทุน LTF ที่ครบกำหนดเข้ากองทุนรวม RMF จะช่วยให้หักลดหย่อนภาษีให้คุ้มค่ามากขึ้นครับ สุดท้ายนี้ผู้เขียนขออวยพรให้ผู้อ่านทุกท่านมีความสุข ลงทุนอย่างมีสติ รอบคอบทุกการตัดสินใจ และประสบความสำเร็จกับเป้าหมายในการลงทุนครับ


