HEJ Street Beauty เปิดเกมใหม่ตลาดร้านค้าปลีกความงาม 2,000 ล้านบาท
เดินกลยุทธ์แจ้งเกิดแบรนด์ในกรุงเทพฯ แต่ขอไปโตในตลาดต่างจังหวัด-จับ Pain Point คนรุ่นใหม่ลงทุน2แสนบาทได้เป็นเจ้าของแฟรนไชส์ เป้าปีหน้าแตะ 100 สาขา
เดินกลยุทธ์แจ้งเกิดแบรนด์ในกรุงเทพฯ แต่ขอไปโตในตลาดต่างจังหวัด-จับ Pain Point คนรุ่นใหม่ลงทุน2แสนบาทได้เป็นเจ้าของแฟรนไชส์ เป้าปีหน้าแตะ 100 สาขา
ตลาดร้านค้าปลีกเซ็กเมนต์เครื่องสำอาง มัลติแบรนด์ มูลค่ารวมกว่า 2,000 ล้านบาท และยังเติบโตในปีนี้ราว10% ที่แม้ว่าในปัจจุบันจะมีผู้ให้บริการทั้งแบรนด์ไทยและต่างชาติ รวมไม่ต่ำกว่า 10 แบรนด์แล้วก็ตาม แต่ด้วยเพราะตลาดนี้ยังมีความสดใสจากกำลังซื้อผู้บริโภคที่ 'พร้อมจ่าย' เพื่อดูแลตัวเองให้ดูดี เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ตลาดนี้ยังโต และ 'โก ออน' อย่างต่อเนื่อง
จารุวัลย์ วงศ์เจษฏาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท C4 Global บริษัทในกลุ่มบริษัท ทาพาโก้ จำกัด (มหาชน) (TAPAC) ผู้ดำเนินธุรกิจร้าน “เฮ้ สตรีท บิวตี้” (HEJ Street Beauty) ร้านเครื่องสำอางมัลติแบรนด์ (Multi brand beauty) เล่าแนวคิดธุรกิจที่เกิดจากความตั้งใจขยายธุรกิจใหม่ของบริษัทแม่ ซึ่งทำธุรกิจหลักเกี่ยวกับพลาสติก และมีโอกาสลงทุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศสวีเดน
แต่ยังต้องการขยายธุรกิจใหม่ๆ ด้วยมองเห็นว่าธุรกิจร้านค้าปลีกสินค้าเครื่องสำอางมัลติแบรนด์ ยังมีแนวโน้มเติบโตสูงต่อเนื่องเพราะไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจจะเป็นเช่นไร กลุ่มสินค้าในเซ็กเมนต์นี้ จะกระทบเพียงแค่เติบโตแบบชะลอตัวเล็กน้อยเท่านั้น
"บิวตี สโตร์แบรนด์ HEJ เป็นอีกหนึ่งวิสัยทัศน์ของบริษัทแม่ ที่มองเห็นโอกาสการขยายธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกันได้ในอนาคต จากสายการผลิตพลาสติกของโรงงานที่ต่อยอดไปสู่การผลิตแพคเกจจิงสินค้าเครื่องสำอางได้" จารุวัลย์ อธิบาย
จากนั้นจึงได้เปิดร้าน HEJ สาขาแรกบนทำเลถนนสีลม ติดกับสถานีรถไฟฟ้าศาลาแดง วางแนวคิดหลัก Shop Chill Charge Share ที่จะครอบคลุมทุกพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ ที่เข้ามาจับจ่ายซื้่อสินค้าภายในร้าน ตั้งแต่ช้อปปิง พูดคุย พักผ่อนสบายๆ บริการชาร์จโทรศัพท์มือถือ หรือ จะหามุมถ่ายรูปในร้านและแชร์ต่อ รวมถึง จุดบริการ Touch Point ความงามด้านต่างๆ เป็นต้น
จารุวัลย์ บอกว่าในปีที่ผ่านมา บริษัทเปิดให้บริการร้านHEJ ต่อเนื่องรวม 5 สาขา คือ สีลม เซ็นทรัล พระราม3 โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ชลบุรี เซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่ และเซ็นทรัล สุราษฎร์ธานี
ขณะที่แนวทางการดำเนินธุรกิจในครึ่งหลังปี62 นี้ บริษัทจะใช้กลยุทธ์ป่าล้อมเมือง โดยจะไปเปิดสาขาร้าน HEJ Street Beauty ในตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น ด้วยมองเห็นโอกาสพลังการจับจ่ายของผู้บริโภคที่มีอยู่สูงตามหัวเมืองต่างจังหวัด
"หลังจากสร้างแบรนด์ HEJ เป็นที่รู้จักในกรุงเทพฯ แล้ว ขั้นต่อไปคือ การนำแบรนด์ธุรกิจขยายสาขาไปยังต่างจังหวัด ด้วยเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง ซึ่งจะเห็นว่าสวนทางกับแบรนด์ธุรกิจร้านค้าปลีกเครื่องสำอางส่วนใหญ่ให้ความสำคัญตลาดในกรุงเทพฯ เป็นหลักในปัจจุบัน" จารุวัลย์ กล่าว
สำหรับการขยายสาขาในตลาดต่างจังหวัดนั้น บริษัทวางรูปแบบธุรกิจ(Business Model) ใหม่ โดยจะย่อไซส์สาขาร้านเป็นรูปแบบขนาดเล็ก Mini HEJ Street Beauty มีขนาดพื้นที่ราว 15-35 ตร.ม. คาดใช้งบลงทุนหลัก200,000-500,000 บาท (รวมสต๊อกสินค้า) จากไซส์ร้านปกติมีขนาดพื้นที่ 200 ตร.ม. ใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 3 ล้านบาท/สาขา
ทั้งนี้บริษัทจะลงทุนร้านHEJ ขนาดเล็กในครึ่งหลังของปีนี้ไม่ต่ำกว่า 40-50 แห่ง โดยในช่วงที่ผ่านมาได้เปิดตัวไปแล้ว 2 สาขา ที่เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ และ เดอะมอลล์ บางกะปิ
"แนวคิดร้าน HEJ ขนาดเล็กนั้น ส่วนหนึ่งยังมาจากความต้องการของลูกค้าที่สนใจอยากลงทุนธุรกิจร้านความงามลักษณะนี้ในต่างจังหวัดด้วย ซึ่งพบว่ายังตรงกับพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ในปัจจุบันที่ต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัวมากขึ้น โดยบริษัทเตรียมพัฒนารูปแบบร้านHEJ ขนาดเล็กไปสู่ธุรกิจแฟรนไชส์ด้วยในอนาคต" จารุวัลย์ กล่าว
สำหรับจุดเด่นร้าน HEJ ที่แตกต่างไปจากร้านเครื่องสำอางมัลติแบรนด์รายอื่น คือ สินค้าเอ็กซคลูซีฟ แบรนด์ นำเข้าจากสหรัฐอมเริกา เข้ามาจำหน่ายเฉพาะที่ร้าน เช่น RUDE, Girl Ractic, Red Cherry, Dionis รวมทั้งแบรนด์จากญี่ปุ่น และเกาหลี และกลุ่มสินค้าอินเฮาส์ แบรนด์
ขณะที่กลุ่มเป้าหมายธุรกิจร้าน HEJ นั้นจะเป็นกลุ่มผู้ใช้อายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไปถึง 55 ปี ที่ยังสนใจดูแลสุขภาพและความงามให้ดูดี
ทั้งนี้จากแนวทางธุรกิจที่วางไว้ บริษัทคาดว่าในปี 2563 จะสามารถขยายธุรกิจให้เติบโตไปพร้อมกับโมเดลการทำแฟรนไชส์ร่วมกับผู้สนใจ โดยคาดว่าในปีหน้าร้าน HEJ Street Beauty จะมีจำนวนสาขาเพิ่มขึ้นเป็น 100 สาขาทั่วประเทศ วางเป้าหมายเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% จากในปีนี้ บริษัทมีอัตราเติบโตธุรกิจเทียบกับช่วงเดียวในปีก่อน 20%