เวทย์ นุชเจริญ กับภารกิจปั้นเอสเอ็มอีกรุงไทย
....ดำรงเกียรติ มาลา
เวทย์ นุชเจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ผู้บริหารสายงาน สายงานธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ธนาคารกรุงไทย ถือเป็นหนึ่งในแม่ทัพสินเชื่อ ที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นในปีนี้
โดยในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ สินเชื่อของธนาคารขยายตัวเกือบ 20% หรือคิดเป็นวงเงินกว่า 4.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 10% มากทีเดียว
“
งานสินเชื่อเป็นงานที่ยาก เพราะต้องขยายตลาดและบริหารไม่ให้กลายเป็นหนี้เสียภายในระยะเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ยังต้องทำให้เป็นไปตามเป้าหมาย ภายใต้ความกดดันของธุรกิจธนาคารที่แข่งขันกันสูง ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องเก็บของกลับบ้านไป แต่ถือเป็นโชคดีของผม ที่ธนาคารกรุงไทยมีการบริหารที่โปร่งใส งานนี้จึงผ่อนหนักให้เป็นเบา” เวทย์ ระบุแม้ว่าสินเชื่อในปีนี้จะขยายตัวได้ดี แต่เป้าในปี 2554 ยังคาดการณ์ว่าจะเติบโตอยู่ที่ 10% เท่ากับเป้าหมายในปีนี้ เนื่องมาจากแนวโน้มของเศรษฐกิจในปีหน้าจะมีอัตราการเติบโตลดลง ผนวกกับปัญหาค่าเงินที่จะเป็นแรงฉุดภาคการส่งออก ดังนั้นธนาคารกรุงไทยจึงต้องเตรียมปรับกลยุทธ์เอาไว้เพื่อรับมือ
เวทย์ ระบุว่า ในปีหน้าจะมุ่งเน้นขยายลูกค้าสินเชื่อรายใหม่เป็นหลัก โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าขนาดกลางและขนาดเล็กที่ต้องการวงเงินต่ำกว่า 100 ล้านบาท
“
ขณะนี้สัดส่วนของลูกค้าสินเชื่อรายย่อยของกรุงไทยมีเพียง 40% เท่านั้น ขณะที่กลุ่มที่มีวงเงินกู้สูงกว่า 100 ล้านบาท มีมากถึง 60% ซึ่งถือเป็นภารกิจที่เราต้องการจะสลับขั้วเพิ่มจำนวนลูกค้ากลุ่มรายย่อยให้ขึ้นมาเป็น 60% ให้ได้ภายใน 3 ปี” เวทย์ กล่าวถึงภารกิจที่รับผิดชอบโดยกลุ่มลูกค้าหลักจะมาจากกลุ่มลูกค้าที่มีบัญชีหรือใช้บริการกับธนาคารอยู่แล้ว แต่ยังไม่เคยใช้บริการสินเชื่อของธนาคาร ซึ่งคนกลุ่มนี้มีสูงถึง 90%
โดยสาเหตุหลักๆ มาจากการขาดหลักประกัน ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ ในส่วนนี้ธนาคารกรุงไทยจึงได้เตรียมผลิตภัณฑ์เอาไว้รองรับ ได้แก่ สินเชื่อแฟกตอริง (Factoring) ซึ่งเป็นสินเชื่อระยะสั้นที่ไม่ต้องใช้สินทรัพย์ค้ำประกันและ สินเชื่อซัพพลาย เชน (Supply Chain) ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนให้กับลูกค้า
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกรุงไทย มองว่าสินเชื่อทั้งสองตัวนี้แทบจะไม่มีความเสี่ยงเลย ทำให้หมดกังวลในเรื่องความเสี่ยงของคุณภาพสินเชื่อ ซึ่งทำให้ทีมงานมุ่งเน้นด้านการตลาดได้อย่างเต็มที่
นอกจากนี้ ยังเป็นการดึงคนกลุ่มนี้ให้กลับมาใช้เงินในระบบ ไม่ต้องไปกู้นอกระบบที่มีอัตราดอกเบี้ยแพง ดังนั้นในส่วนนี้สินเชื่อในกลุ่มเอสเอ็มอีจะเข้ามามีบทบาทมาก
“
การแข่งขันด้านสินเชื่อเอสเอ็มอี ตอนนี้ค่อนข้างเข้มข้น เพราะทุกแบงก์ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ซึ่งธนาคารกรุงไทยเองยังอยู่ในอันดับ 3 แต่จะพยายามผลักดันให้เติบโตมากขึ้น โดยเฉพาะด้านการบริการ ที่เชื่อว่าจะเป็นปัจจัยหลักของลูกค้าในการพิจารณาว่าจะเลือกใช้บริการของธนาคารใด ซึ่งเรื่องนี้กรุงไทยเองก็เล็งเห็นความสำคัญ เราจึงเข้าไปดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเรื่องการบริหารเงินสด (Cash Management) ซึ่งเราจะเข้าไปช่วยลูกค้าอย่างครบวงจร” เวทย์ อธิบายสำหรับลูกค้าสินเชื่อของธนาคารกรุงไทยตอนนี้ จะมีการผูกโปรแกรม Cash Management เอาไว้ทั้งหมด เพื่อเป็นการดูแลและบริการลูกค้าอย่างครบวงจร ทั้งการเปิดบัญชีให้กับลูกค้าและคู่ค้า การโอนเงิน การจ่ายเงินค่าสินค้า โดยจะมีเจ้าหน้าที่ออกไปให้บริการถึงที่
ส่วนกลยุทธ์ในปีหน้านั้น นอกจากจะเน้นกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอีแล้ว อีกกลุ่มธุรกิจที่จะให้ความสำคัญไม่แพ้กันก็คือ กลุ่มพลังงานทดแทนและสินค้าเกษตรแปรรูป เพราะเป็นธุรกิจที่มีอนาคตในระยะยาวและในปัจจุบันธนาคารกรุงไทยก็จัดว่าเป็นธนาคารที่ปล่อยสินเชื่อทางด้านนี้มากที่สุด คิดเป็น 30% ของสินเชื่อประเภทนี้ทั้งหมด
นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าที่จะขยายสินเชื่อด้านการให้บริการด้านธุรกิจต่างประเทศ (Trade Finance) ให้ได้ที่ 17% เพราะมองว่าเป็นสินเชื่อที่ธนาคารจะได้ประโยชน์ถึง 3 ต่อ ทั้งจากอัตราดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียมจากการขอ แอล/ซี และจากส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยน
อย่างไรก็ตาม เวทย์ มองว่า ปัจจัยที่ต้องระวัดระวังเป็นอย่างมากในปีหน้าคือ เรื่อง
“บาทแข็ง” เพราะจะส่งผลลบที่สุดต่อกลุ่มลูกค้าในภาคการส่งออก ซึ่งเสี่ยงที่จะเกิดเอ็นพีแอลได้ โดยธนาคารจะพยายามดูแลหนี้เสียไม่ให้เกินเป้าที่ตั้งเอาไว้ที่ 3% และจะเข้าไปดูแลลูกค้ากลุ่มนี้ใกล้ชิดเป็นพิเศษ นอกเหนือจากนี้ปัจจัยด้านราคาน้ำมันและอำนาจการซื้อที่ลดลงของผู้บริโภค ก็สามารถซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลงไปอีกได้เช่นกัน“
ในช่วงไตรมาสแรกปีหน้า จะเป็นช่วงที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะผู้ส่งออกส่วนใหญ่จะหมดสัญญาการซื้อสินค้าล่วงหน้า 3 เดือนกับคู่ค้า ซึ่งขณะนี้ธนาคารได้เข้าไปดูแลลูกค้าที่ร้องขอเงินทุนหมุนเวียนชั่วคราวกว่า 40% แล้ว โดยจะช่วยเหลือที่รายละ 5 ล้านบาท ในระยะเวลา 6 เดือน ปัญหานี้รัฐบาลจะต้องเข้ามาช่วยเหลือเหมือนเมื่อครั้งเกิดคลื่นสึนามิ ด้วยการลดต้นทุนให้กับธุรกิจ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ” เวทย์ ระบุดังนั้น หน้าที่หัวเรือใหญ่ในการบริหารและดูแลสินเชื่อเอสเอ็มอีธนาคารกรุงไทย ในปี 2554 ให้เป็นไปตามเป้านั้นนับว่าเป็นโจทย์ที่ทั้งหินและท้าทายของ เวทย์ นุชเจริญ
งานนี้ก็ต้องติดตามชมกันต่อไป...


