สถาบันพระมหากษัตริย์....เสาหลักหลอมรวมความเป็นไทย
โดย ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภานายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย
โดย ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภานายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย
สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เคียงคู่กับประเทศไทยเป็นเวลาช้านาน หากเอาแผนที่ในวันนี้เป็นตัวตั้ง จากเอกสารวิชาการ-เอกสารพงศาวดารเหนือและคำให้การของชาวกรุงเก่าย้อนหลังไปอย่างน้อยตั้งแต่ปีพ.ศ. 1011 มีราชธานีที่มีพระมหากษัตริย์ปกครองอย่างต่อเนื่องที่รู้จักกันดีคือเมืองละโว้ (ลพบุรี) และนครอโยธยาเป็นเมืองที่สร้างอยู่ในยุคใกล้เคียงกันต่อมาได้ผนวกเป็นอาณาจักรเดียวกัน ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่าระบอบการปกครองของไทยโดยมีสถาบันพระมหากษัตริย์มีมาอย่างช้านาน
สังคมไทยมีความผูกพันกับพระเจ้าแผ่นดินในฐานะเป็นผู้นำการปกครองเห็นได้จากรากศัพท์มาจาก “เกษตฺร” หรือกษัตริย์ ในภาษาสันสกฤตหมายถึงผู้มีที่ดินมาก การแบ่งสถานะตำแหน่งหน้าที่ในสมัยก่อนจึงใช้ระบอบศักดินาที่วัดจากจำนวนที่ดินที่กำหนดไว้ซึ่งก็คล้ายกับหลายประเทศทั้งในยุโรปและเอเชียซึ่งในอดีตใช้การถือครองที่ดินเป็นตัวบ่งชี้บรรดาศักดิ์ของขุนนาง
ขณะเดียวกันสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยยังทำหน้าที่เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณในฐานะเทพเจ้าอย่างน้อยตั้งแต่สมัยอู่ทองจนถึงสมัยอยุธยา แม้แต่ยุคปัจจุบันกษัตริย์ทุกพระองค์เสมือนเป็นอวตารพระวิษณุหรือพระนารายณ์ แม้แต่พระนามของพระเจ้าแผ่นดินตั้งแต่สมัยอยุธยาใช้พระนาม “รามาธิบดี” แม้แต่เมืองหลวงของอาณาจักรไทยใช้คำว่า “อโยธยา” ถือเป็นเมืองของพระรามและยังใช้ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ชื่อเต็มของกทม.คือ “กรุงเทพ....มหานคร....มหินทราอยุธยา...” คือเป็นเมืองของเทพที่ประทับของพระราชาผู้อวตารจากพิมานมาสถิต
ที่เห็นชัดเจนคือพิธีบรมราชาภิเษกที่ผสมผสานราชประเพณีทั้งฮินดูและพุทธได้อย่างลงตัว ความเชื่อในองค์พระมหากษัตริย์ถือเป็นสมมติเทพ อวตารเพื่อขจัดความทุกข์เข็ญของพสกนิกรเป็นพิธีที่ถือเป็นสวัสดิมงคลแก่บ้านเมือง อีกประการหนึ่งซึ่งสะท้อนการเป็นผู้นำทางจิตใจของพระเจ้าแผ่นดินคือพระราชพิธีมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ซึ่งในวันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม 2562 ที่พระเจ้าแผ่นดินในฐานะเทพจะเสด็จไปทำพิธีหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าว เริ่มต้นฤดูกาลเพาะปลูกเป็นการสร้างขวัญกำลังใจ ซึ่งในอดีตเราเป็นสังคมเกษตรต้องเพิ่งพาฝนฟ้า-อากาศมีความไม่แน่นอนจึงต้องมีที่พึ่งทางใจในการเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
คนไทยและสังคมไทยเทิดทูนพระมหากษัตริย์ไม่ใช่แค่เป็นผู้นำการปกครองแต่เป็นผู้นำทางจิตใจที่คนไทยเทิดทูนไว้เสมือนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีการบูชาพระสัญลักษณ์และประติมากรรมของพระมหากษัตริย์ที่สำคัญมีการถวายน้ำ อาหาร สิ่งสักการะเหมือนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งตรงนี้ต่างกับในต่างประเทศซึ่งอนุสาวรีย์ของ วีรกษัตริย์เป็นแค่สัญลักษณ์ทางการเมืองหรือความยิ่งใหญ่ของผู้นำในแง่การปกครองมากกว่าทางด้านจิตวิญญาณ ตรงนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยมีความมั่นคงและต่อเนื่องมากว่า 1,550 ปี ซึ่งไม่ควรไปสับสนเพดานประวัติศาสตร์ชาติไทยไปหยุดเริ่มต้นที่สมัยสุโขทัย
ปัจจุบันมีประเทศต่างๆ ซึ่งยังมีระบอบกษัตริย์ประมาณ 29 ประเทศจาก 196 ประเทศทั่วโลกส่วนใหญ่เป็นเชิงสัญลักษณ์ ประเทศที่พัฒนาแล้วเช่นสหภาพยุโรปมี 10 ประเทศที่ยังมีระบอบกษัตริย์ เช่น ประเทศสหราชอาณาจักรเบลเยี่ยม, เดนมาร์ก, เนเธอร์แลนด์, สวีเดน, นอร์เวย์, สเปน, ลักเซมเบิร์ก ในเอเชียได้แก่ ญี่ปุ่น, ภูฏาน, พม่า, คูเวต, โมร็อกโก, โอมอน, ซาอุดิอาระเบีย ฯลฯ แม้แต่ในอาเซียนได้แก่ ไทย, มาเลเซีย, กัมพูชา, บูรไน
ที่ผมรวบรวมข้อมูลเพื่อแสดงให้เห็นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ใช่ระบอบที่เชยหรือล้าสมัย สะท้อนจากประเทศอุตสาหกรรมก็ยังคงสถาบันนี้ไว้ แม้แต่ปัจจุบันฝรั่งเศส, รัสเซีย, เยอรมนี เขายังเสียดายที่ของเขาสูญสลาย เหตุเพราะประวัติศาสตร์การสร้างชาติของประเทศต่างๆมีที่มาที่ไปที่แตกต่างกัน แม้แต่ภาพยนตร์ หรือละครของประเทศต่างๆไปในทางย้อนยุค เห็นได้จากหนังฮอลลีวูดหรือหนังจีน-เกาหลี นำเอาเรื่องราวของพระมหากษัตริย์ในอดีตมาเป็นตัวละคร
แม้แต่บางประเทศ เช่น กัมพูชาล้มเจ้าไปแล้วยังนำเอาความเป็นราชอาณาจักรกลับมาเป็นสถาบันหลักของชาติ กาลเวลาเปลี่ยนแปลงไปตามแต่ละยุคแต่ละสมัยทำให้รูปแบบการปกครองเปลี่ยนแปลง แต่สถาบันพระมหากษัตริย์ยังแนบแน่นเป็นจุดหลอมรวมความเป็นเอกภาพเป็นเสาหลักของคนไทยและประเทศไทยตลอดไป
(สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ทางเว็บไซต์ www.tanitsorat.com หรือwww.facebook.com/tanit.sorat)


