เพียวริคุ เพิ่มงบตลาดรุกชาขาว
เพียวริคุ เพิ่มงบตลาด20% รับตลาดชาขาวพร้อมดื่มโตต่อเนื่อง 3 ปี แซงหน้ากลุ่มชาเขียว-ชาดำหดตัว ลั่นปีหน้าตลาดรวมแตะ9,000ล.บาท
เพียวริคุ เพิ่มงบตลาด20% รับตลาดชาขาวพร้อมดื่มโตต่อเนื่อง 3 ปี แซงหน้ากลุ่มชาเขียว-ชาดำหดตัว ลั่นปีหน้าตลาดรวมแตะ9,000ล.บาท
น.ส.สุวรรดี ไชยวรุตม์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัททีซี ฟาร์มาซูติคอล อุตสาหกรรม ผู้ผลิตและจำหน่ายชาวขาวพร้อมดื่มยี่ห้อ “เพียวริคุ” กล่าวว่าบริษัทใช้งบเพิ่มขึ้น20% จากปีที่ผ่านมาทำตลาดเชิงรุกเครื่องดื่มชาขาวพร้อมดื่มเพียวริคุ เพื่อรองรับการเติบโตสินค้าดังกล่าวซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนตลาดเครื่องดื่มชาพร้อมดื่มทุกประเภทให้เติบโตต่อเนื่องในช่วง3-5ปีที่ผ่านมา จากปี52ตลาดชาพร้อมดื่มมีมูลค่ารวมกว่า 7,800 ล้านบาท และคาดว่าในปีนี้ตลาดรวมจะยังเติบโตเพิ่มขึ้น 30% สวนทางกับตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคทะลอตัวจากปัญหาเศรษฐกิจและการเมือง
พร้อมใช้งบกว่า 30 ล้านบาทลงทุนในสายการผลิตสินค้าเครื่องดื่มชาขาวพร้อมดื่ม “เพียวริคุ” โดยเพิ่ม 5 สายการผลิต จากเดิมมีอยู่ 2 สายการผลิตสินค้า พร้อมปรับปรุงบรรจุภัณฑ์(แพคเกจจิง)ใหม่เป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี เพื่อสร้างความแตกต่างสินค้า พร้อมลดปริมาณน้ำตาลลง25% และเปลี่ยนชื่อเป็น “เพียวริคุ เพียว ชาขาว” เพื่อตอกย้ำตำแหน่งผลิตภัณฑ์ชาพร้อมดื่มระดับบน โดยวางจำหน่ายสินค้าราคา 13 บาทในปริมาณบรรจุ 350 มล. จากเดิมอยู่ที่ราคา 10 บาทซึ่งเป็นราคาโปรโมชันระยะยาวในช่วงเปิดตัว ส่วนคู่แข่งในตลาดอยู่ 20 บาท ปริมาณ 500 มล.
นอกจากนี้บริษัทยังใช้กลยุทธ์พัฒนารสชาติใหม่ๆสู่ตลาด เพื่อกระตุ้นการบริโภคชาขาวพร้อมดื่ม และขยายฐานกลุ่มเป้าหมายใหม่ จากปัจจุบันแบ่งเป็น 2 กลุ่มเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มผู้ใหญ่วัยทำงาน และกลุ่มวัยรุ่น ล่าสุดวางจำหน่าย ชาขาวเพียวริคุ โกจิเบอร์รี ซึ่งวางแผนการทำตลาดแบบครบวงจร พร้อมเปิดตัวพรีเซนเตอร์กลุ่มใหม่ คือ ศิลปินนักดนตรี “กอล์ฟ-ไมค์” และนักแสดงสาว “อั้ม-พัชราภา” ผ่านภาพยนตร์โฆษณาทีวี(ทีวีซี) ภายใต้ชุด “มากกว่าความสดชื่น” เพื่อสื่อสารไปยังกลุ่มผู้บริโภคทั้ง 2 กลุ่มเป้าหมายสินค้าดังกล่าวของบริษัท
ปัจจุบันตลาดชาพร้อมดื่ม ประกอบด้วย 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ คือ ชาเขียว ครองส่วนแบ่ง61% เติบโต 22% ซึ่งเป็นสัดส่วนตลาดที่เติบโตลดลงต่อเนื่องในรอบหลายปี และกลุ่มชาขาว ครองส่วนแบ่ง 20% เติบโตสูงสุด 52% และกลุ่มชาดำมีสัดส่วน 19% เติบโตราว 42% ที่ปัจจุบันตลาดชาพร้อมดื่มแข่งขันด้านราคาเป็นหลัก โดยเจ้าของสินค้าต่างหันไปลดต้นทุนการผลิต ขณะที่พฤติกรรมผู้บริโภคหันไปให้ความสำคัญในการเลือกดื่มสินค้าที่รสชาติดีและให้คุณประโยชน์ไปพร้อมกัน มากกว่าเครื่องดื่มเพื่อคุณประโยชน์(ฟังค์ชันนัลดริงค์) เพียงอย่างเดียว
ทั้งนี้ จากการสำรวจของ เอซีนีลเส็น บริษัทผู้วิจัยและสำรวจตลาด ระบุว่าตลาดชาพร้อมดื่มในปีนี้คาดมีมูลค่าราว 7,800ล้านบาท จากในปี2552 อยู่ที่ 6,200 ล้านบาท โดยปี2551 อยู่ที่ 4,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี2550 มีมูลค่า 3,900 ล้านบาท และในปีหน้าคาดตลาดรวมชาพร้อมดื่มจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 9,000 ล้านบาท


