จากพุทโธ่ ถึง อามี๋ถัวฝอ
ผมเคยเขียนเรื่องที่มาของคำว่า “อมิตาภพุทธ”
ผมเคยเขียนเรื่องที่มาของคำว่า “อมิตาภพุทธ” ที่ได้ยินในหนังกำลังภายใน แต่ไม่เคยเขียนว่าคนจีนเริ่มพูดอมิตาภพุทธกันตั้งแต่เมื่อไร
คนที่ทำให้ “อามี๋ถัวฝอ” หรือ อมิตาภพุทธ ติดปากคนจีน คือพระเถระสมัยอู่ไต้ (ปลายราชวงศ์ถัง) ชื่อว่าท่านหย่งหมิง เหยียนโซ่ว
ประวัติท่านหย่งหมิงพิสดารพันลึกมาก แต่ผมจะขอละไว้ก่อน เอาเป็นว่าหลังจากบวชแล้วท่านปฏิบัติกรรมฐานด้วยการท่องอมิตาภพุทธอยู่ตลอดเวลา ตั้งใจว่าวันหนึ่งต้องท่องให้ได้ 1 แสนจบ ดังนั้นทุกขณะ ทุกกริยาอาการของท่านจึงประทับไว้ด้วยคำอมิตาภพุทธ
เวลาท่านสนทนากับใคร ใจท่านยังแนบอยู่กับคำภาวนา ดังนั้นเวลาเอ่ยอะไรจึงมีคำว่า อมิตาภพุทธติดมาก่อน จะทักทายก็อมิตาภพุทธ จะร่ำลาก็อมิตาภพุทธ มีคนเรียกชื่อท่าน ท่านก็ตอบรับว่าอมิตาภพุทธ
คำว่าอมิตาภพุทธเป็นคำมงคลอยู่แล้ว เมื่อพระเถระท่านทำเป็นตัวอย่าง คนอื่นๆ ก็เอาอย่างบ้าง จนกลายเป็นคำอุทานติดปากคนจีนสมัยก่อนไป แม้แต่ชาวจีนที่ไม่ใช่ชาวพุทธก็พลอยติดคำนี้ไปด้วย
ไต้ซือเหยียนเซิ่ง ชาวไต้หวันเล่าว่า แม้แต่เจียงไคเช็กที่เป็นคริสเตียนก็เอ่ยคำอมิตาภพุทธ
ดังนั้น การที่คนจีนสมัยก่อน เวลาจะอุทานอะไรออกมาจะพูดว่า “อามี๋ถัวฝอ” หรือ อมิตาภพุทธ ก็เป็นเพราะอิทธิพลของพุทธศาสนานิกายสุขาวดี ที่สอนให้ผู้ปฏิบัติท่องคำว่าอมิตาภพุทธ ให้คำๆ นี้แนบกับสติตลอดเวลา เมื่อเวลาสิ้นใจจะได้ไปเกิดในแดนสุขาวดีพุทธเกษตร อันเป็นดินแดนของพระอมิตาภพุทธเจ้า เพื่อปฏิบัติธรรมต่อจนบรรลุนิพพาน ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก
นิกายสุขาวดีปฏิบัติง่าย แค่ท่องอมิตาภพุทธไว้กับใจทุกขณะ ชาวบ้านไม่รู้หนังสือก็ทำได้ นิกายนี้เลยแพร่หลายจนถึงปัจจุบัน
“อามี๋ถัวฝอ” หรือ อมิตาภพุทธของคนจีน เทียบได้กับคำว่า “พุทโธ่” ของคนไทย คำๆ นี้เพี้ยนมาจาก “พุทโธ” ซึ่งเป็นคำไว้ภาวนาแต่โบราณ ถือเป็นพุทธานุสสติ คือการทำใจให้แนบแน่นกับพระพุทธเจ้า โดยเอ่ยคำว่าพุทโธทุกกริยากายและกริยาใจ เมื่อคนภาวนาแนบสนิทกับใจมากๆ ก็เอ่ยคำว่าพุทโธออกมาโดยอัตโนมัติ เหมือนกับพระเถระหย่งหมิงเอ่ยคำอมิตาภพุทธ
แต่ในภายหลังเมื่อคนนิยมใช้เป็นอุทานมากๆ พูดหลายๆ ปากเข้าวรรณยุกต์ของพุทโธก็ผิดเพี้ยนไป กลายเป็นพุทโธ่ บ้างก็เพี้ยนเป็น ปู้โท่ ปุ๊ดโถ่ ปั๊ดโท่ หรือ โธ่ ความหมายก็เลือนหายไปด้วย จนคนเข้าใจว่าเป็นคนละคำกับ “พุทโธ”
เรื่องนี้เป็นปัญหาตั้งแต่ปี 2472 ดังในหนังสือ “เรื่องนะโม”ได้กล่าวไว้ว่า “พุทโธ่ ที่ชาวเราเปล่งในบัดนี้ มีค่าต่ำลง และมุ่งหมายเป็นอย่างอื่นเสียแล้ว ... ฉะนั้น พุทโธ่ จึงขาดตอนจาก พุทโธ ชวนให้ทึกทักว่าเป็นอีกคำหนึ่ง”
สมัยก่อนเวลาคนใกล้ตาย ท่านจะไปกระซิบบอกใกล้ๆ หูให้ท่องพุทโธๆ หรืออรหังๆ เข้าไว้ เพื่อให้จิตเกาะกับกุศล เมื่อสิ้นใจแล้วจะได้ไป “สุขาวดี” หรือสุคติภูมิ
แต่น่าเสียดายคือ ชาวบ้านที่ห่างไกลหลักปฏิบัติธรรม เข้าใจว่า “พุทโธ” เป็นคำอวมงคล ให้คนตายท่องเท่านั้น เหมือนอย่างหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ท่านเล่าไว้ในประวัติว่า ตอนเด็กๆ ท่านได้ยินเขาบอกคนใกล้ตายให้ท่องคำจำพวกนี้ท่านติดใจจึงเก็บมาภาวนา อรหังๆ แต่ปรากฏว่าแม่ท่านกราดเกรี้ยวใส่ บอกว่า ...
“เอ้า มึงจะตายโหงตายห่า ก็ตายห่าคนเดียว มันจะมาว่าอรหังที่นี่ได้รึ คำว่าอรหัง พุทโธ นี่คนเขาจะตายเท่านั้นแหละเขาว่ากัน นี่ดันมาว่าอรหังที่นี่ ทำเป็นลางร้ายให้คนอื่นเขาพลอยตายด้วย มึงจะตายโหงตายห่าก็ไปตายคนเดียว”
กว่าที่ พุทโธ จะกลายเป็นคำมงคลสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมอีกครั้ง ก็เมื่อคณะพระป่าพระกรรมฐาน สอนให้ภาวนาพุทโธในช่วงกึ่งพุทธกาลนี่เอง จนปัจจุบันคำคำนี้หมดสิ้นมลทิน และแพร่หลายในหมู่ผู้ภาวนาอีกครั้ง
ที่น่าแปลกคือ ชาวพุทธอาจไม่ค่อยรู้แล้วว่า พุทโธ่ มาจากพุทโธ แต่คนมุสลิมในไทยดูเหมือนจะทราบกัน และห้ามปรามไม่ให้มุสลิมใช้คำว่า ปัดโธ่ หรือ โธ่ เพราะมาจากนามพระศาสดาของชาวพุทธ


