เสี่ยงชีวิตหมื่นลี้เสาะหาพระวินัย (2)
“เสี่ยงชีวิตหมื่นลี้เสาะหาพระวินัย”
“เสี่ยงชีวิตหมื่นลี้เสาะหาพระวินัย” ตอนที่แล้ว ทิ้งท้ายไว้ตอนที่ท่านเลือกกลับจีนทางเรือ เพราะเส้นทางสายไหมทางทะเลทรายมีสถานการณ์ไม่แน่นอน อาจถูกภัยสงครามหรือผู้มีอำนาจขัดขวาง ท่านจึงเลือกกลับพร้อมกับเรือสินค้า
แต่ปรากฏว่าเรือเผชิญพายุร้ายนานถึง 13 วันติดต่อกัน เผชิญกับคลื่นลมปั่นป่วนรวม 100 วันในทะเลหลวง ท่านต้องยอมทิ้งสัมภาระทั้งหมด เพื่อให้เรือเบาขึ้น แต่ไม่ยอมทิ้งคัมภีร์พระวินัยที่อุตส่าห์เสาะหามา กระทั่งมาถึงยะวะทวีป หรือเกาะชวา
ตรงนี้เองที่เป็นปริศนา เพราะท่านบันทึกว่าเดินทางถึง 100 วัน จากลังกาถึงยะวะทวีป ทั้งๆ ที่ควรใช้เวลาเพียง 2 สัปดาห์ บางคนจึงสันนิษฐานว่า เรือท่านคงถูกพายุพัดไปยังดินแดนที่ไม่ปรากฏในแผนที่มากกว่าชวา แต่ข้อสันนิษฐานนี้ยังไม่มีข้อสรุป
เมื่อเรือออกจากชวา แทนที่สถานการณ์จะดีขึ้น เรือกลับประสบกับพายุร้ายอีก คราวนี้ลูกเรือเกิดสิ้นคิด วางแผนกันจะฆ่าพระฝาเสี่ยน เพราะเห็นว่าท่านเป็นกาลกิณีกับทั้งเป็นคนนอกศาสนาพราหมณ์ จึงคิดจะฆ่าท่านเป็นพลีกรรมให้ทะเลสงบ
เดชะบุญก่อนที่พวกนั้นจะลงมือ พ่อค้าชาวจีนขัดขวาง ข่มขู่ว่า หากจะฆ่าท่านก็จงฆ่าเขาเสียด้วย แต่หากทำไปแล้วจงระวังให้ดี เพราะพระเจ้าแผ่นดินจีนทรงเป็นพุทธมามกะ เมื่อพระองค์ทราบว่าพ่อค้าต่างชาติฆ่าพระสงฆ์คงไม่ละเว้นเป็นแน่ พวกนายเรือจึงเกิดความเกรงกลัว หมดความคิดที่จะฆ่าท่าน
ไม่นานนัก เรือจากชมพูทวีปก็มาถึงแผ่นดินจีน ที่ภูเขาเหลาซาน แถบเมืองชิงเต่าในปัจจุบัน จบการเดินทางยาวไกลเพื่ออัญเชิญพระวินัย ในวัย 75 ปี ตอนจากไปเมื่อ 13 ปีก่อน ไปพร้อมคณะ 10 คน ครานี้เหลือท่านกลับมาเพียงลำพัง แต่กลับมาพร้อมด้วยคัมภีร์มากมาย ซึ่งจะเป็นรากฐานพระธรรมวินัยในจีนจนกระทั่งทุกวันนี้
หลังจากกลับมาถึงแล้วท่านยังไม่เสร็จสิ้นภารกิจของชีวิต ท่านเริ่มการแปลพระวินัยพร้อมกับคัมภีร์สำคัญอื่นๆ ในทันทีเพราะเวลามีจำกัดแล้ว โดยตั้งคณะแปลที่เจี้ยนคัง เมืองหลวงของอาณาจักรตงจิ้น ใช้เวลาแปลหามรุ่งหามค่ำ ทั้งกลางวันกลางคืน ทั้งยังเจียดเวลาสอนพระธรรมวินัยแก่พระสงฆ์ กระทั่ง 2 ปีก็แปลพระวินัยทั้ง 5 ฉบับแล้วเสร็จ รวมถึงมหาปรินิพพานสูตรฉบับมหายาน ครั้งนั้นท่านอายุได้ 77 ปี เสร็จสิ้นภารกิจอันยิ่งใหญ่อย่างเหลือเชื่อในวัยที่ใครๆ คิดว่า คงทำอะไรไม่ไหวแล้ว
จากนั้นท่านหลบลี้ไปบำเพ็ญภาวนาที่วัดชินซื่อ อันห่างไกล พร้อมเขียนบันทึกการเดินทางคือหนังสือ “ตำนานดินแดนพุทธะ” (ฝอกว๋อจี้) อันลือลั่น
“ตำนานดินแดนพุทธะ” (ฝอกว๋อจี้) เล่มนี้มีคุณค่าทางโบราณคดีอย่างมาก เพราะเป็นหลักฐานชี้จุดสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา เช่น ลุมพินีวัน รวมถึงบันทึกวิถีชีวิตของดินแดนพุทธศาสนา 30 ประเทศในเขตเอเชียกลาง และชมพูทวีป เป็นลายแทงอาณาจักรแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หนังสือเล่มนี้แปลเป็นภาษาไทยในชื่อว่า “อุตตมสงฆ์ฟาเหียน : บันทึกการเดินทางสืบพระศาสนาในประเทศอินเดีย”
พระเถระฝาเสี่ยนละสังขารในปี 422 สิริรวมอายุได้ 82 ปี 79 พรรษา อีก 200 กว่าปีต่อมา พระภิกษุหนุ่มสมัยราชวงศ์ถังนามว่า เสวียนจั้ง ได้แรงบันดาลใจจากท่าน และเดินทางสู่ตะวันตก ไปสืบพระศาสนาที่ชมพูทวีปเช่นกัน บันทึกของพระเสวียนจั้งเรียกว่า “ต้าถังซีโหยวจี้” หรือ “บันทึกการ
จาริกไซอิ๋ว”
เรื่องของพระฝาเสี่ยน สะท้อนให้เห็นว่า ยามที่ศาสนาหย่อนยานก็ยังมีบรรพชิตที่เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยวยอมตายเพื่อให้แผ่นดินมีขื่อแป ให้ศาสนามีรากแก้วมั่นคง พระฝาเสี่ยนแม้จะสูงวัยแต่ไม่ย่อท้อ แม้คนรอบข้างล้มตายหรือถอดใจท่านก็ยังมุ่งมั่น แม้เผชิญความตายก็ยังไม่ทิ้งปณิธาน บุคคลเช่นท่าน ทางโลกก็ยกย่อง ทางธรรมก็นับถือ นานนับพันๆ ปีไม่มีลืมเลือน
ข้อปิดท้ายด้วยข้อคิดเรื่องความกล้าหาญในทางพระพุทธศาสนา
ความกล้าหาญในทางพระพุทธศาสนา ไม่ได้หมายถึงความกล้าในการเผชิญหน้ากับคนอื่นหรือศัตรูนับหมื่นนับพัน แต่หมายถึงความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับตัวเอง ท้าทายตัวเองไม่ให้หลงไปกับสิ่งยั่วยวนให้เบียดเบียนผู้อื่นเพื่อความสุขจอมปลอมของตน นั่นคือมีความละอายและกลัวในการทำชั่ว
ในเทวธรรมชาดก มีคาถาของชาดกว่า
“สัปบุรุษผู้สงบระงับ ประกอบด้วยหิริและโอตตัปปะ ตั้งมั่นอยู่ในธรรมอันขาว ท่านเรียกว่า ผู้มีเทวธรรมในโลก.”
พระอรรถกถาจารย์ได้ยกพุทธพจน์ชี้แจงดังนี้ว่า
“บุคคลนั้นกระทำตนนั่นแหละให้เป็นใหญ่ ละอกุศล เจริญกุศล ละธรรมที่มีโทษ เจริญธรรมที่ไม่มีโทษ บริหารตนให้หมดจดอยู่.”
แล้วพระอรรถกถาจารย์อธิบายต่อว่า
“บุคคลพิจารณาถึงความเป็นผู้กล้าหาญ อย่างนี้ว่า ชื่อว่าการกระทำบาปนี้ เป็นกรรมของคนผู้มีชาติอ่อนแอ กรรมนี้บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยความกล้าหาญเช่นท่าน ไม่ควรกระทำ แล้วไม่กระทำบาป มีปาณาติบาตเป็นต้น ชื่อว่ายังหิริให้ตั้งขึ้น”


