ว่าด้วยการกราบ
ในกลุ่มผู้ปฏิบัติตามหลักพุทธธรรมในโลกตะวันตกมีการถกเถียงเรื่องการกราบ
โดย กรกิจ ดิษฐาน
ในกลุ่มผู้ปฏิบัติตามหลักพุทธธรรมในโลกตะวันตกมีการถกเถียงเรื่องการกราบ (เบญจางคประดิษฐ์) หรือหมอบกราบ (อัษฎางคนิมิต) ว่าควรยึดถือตามธรรมเนียมตะวันออกหรือไม่ เพราะตะวันตกไม่มีธรรมเนียมนี้ โดยเฉพาะการกราบครูบาอาจารย์ ซึ่งเป็นคนเท่ากันในทางสังคมการเมือง แต่ประเด็นนี้สามารถไกล่เกลี่ยกันได้เมื่อมองในแง่มุมศาสนา
เพราะหลักพุทธศาสนาสอนให้ละอัตตาตัวตน ละอหังการ ผู้ที่มีปัญญาจะมองว่าการกราบครูบาอาจารย์ไม่ได้กราบยศถาบรรดาศักดิ์ท่านหรือสยบยอมต่ออาวุโสของท่าน แต่เป็นการกราบเพื่อขจัดอหังการในตัวผู้กราบเอง ยิ่งกราบมากๆ อหังการ มมังการยิ่งเบาบาง พออัตตาเบาบางก็จะเข้าถึงโพธิสัตว์จรรยา ไม่คิดทำเพื่อตัวเอง แต่มุ่งหมายทำเพื่อสรรพสัตว์และประโยชน์ส่วนรวม
ผู้กราบเสียมานะอัตตา แต่ได้ธรรมได้ปัญญา ส่วนผู้ถูกกราบหากหลงว่าเขากราบเพราะตัวเองสูงส่งกว่าจะเป็นโทษแก่ตัวคนผู้นั้นเอง ทำให้หลงติดในมานะอัตตา ไม่พบทางออกจากสังสารวัฏ
ที่จริงแล้วพุทธศาสนาสอนให้คนห้าวหาญในทางจริยธรรม แต่ต้องประกอบด้วยความถ่อมตัว เหมือนในกรณียเมตตสูตร สอนไว้ว่านักรบทางธรรมนั้นต้องเป็นทั้งคนกล้าหาญ (สักโก) และคนอ่อนโยน (มุทุ) กับทั้งไม่หยิ่ง ไม่ถือตัว (อะนะติมานี)
โปรดสังเกตว่าคนกล้าหาญมักถ่อมตัวเก็บตน แต่คนเย่อหยิ่งโง่เขลามักท้าทายคนอื่นไปทั่ว
ตัวอย่าง ผู้ที่กล้าหาญทางจริยธรรมเปี่ยมด้วยปัญญา ก็เช่น สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) สถานะทางโลกทางธรรมท่านสูงส่ง แต่ท่านก็ยังกราบไหว้กระทั่งพระลูกวัด หรือแม้แต่สุนัข เพื่อเป็นอุบายสั่งสอนผู้คน ท่านทำได้เพราะท่านมี “มุทุ” และ “อะนะติ มานี” รวมถึง “ปรัตเยกกษนาญาณ” คือญาณเล็งเห็นว่าสรรพสัตว์ล้วนเสมอเหมือนกันโดยสารัตถะ หากสมเด็จโตท่านยังมี “สักโก” คือความกล้าหาญ กล้าทักท้วงพระเจ้าแผ่นดินอย่างไม่เกรงอาญาหากเป็นเรื่องไม่ชอบไม่ควร ถึงถูกถอดสมณศักดิ์ท่านก็ไม่ยึดติด
นอกจากฝ่ายเถรวาทแล้ว หากจะว่าด้วยการแสดงความอ่อนน้อมด้วยการกราบในนิกายอื่นๆ ชาวทิเบตเป็นกลุ่มที่แสดงธรรมผ่านเรื่องนี้ได้ลึกซึ้งที่สุด
ตามธรรมเนียมทิเบตนิยมกราบแบบอัษฎางคนิมิต คือ ร่างกาย 8 ส่วนสัมผัสพื้น ซึ่งมีความหมายลึกซึ้ง มิใช่หมายถึงการสยบยอมอย่างโง่เขลา แต่เป็นการขัดเกลาตัวเองให้พ้นมลทิน กระบวนการกราบนั้นเริ่มจากการพนมมือในท่าประคองรัตนะ คือนิ้วทั้ง 4 แนบชิดกัน ส่วนนิ้วหัวแม่มืองอเข้าไปในพุ่มพนม
1.จังหวะแรกยกพนมที่เหนือศีรษะและจรดหน้าผาก พิจารณาและชำระกายกรรม
2.จังหวะที่สองยกพนมที่ลำคอ พิจารณาและชำระ
วจีกรรม
3.จังหวะสามยกพนมที่หน้าอก พิจารณาและชำระมโนกรรม
4.ค่อยๆ น้อมร่างลงให้ทั้ง 5 ส่วนสัมผัสกับพื้น ชำระ “ปัญจกเลศวิษะ” คือ กิเลสทั้ง 5 ประการ ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ริษยา เมื่อชำระกาย วาจา ใจ และกิเลสแล้ว จะได้รับปัญญาญาณทั้ง 5 ประการ คือ ธรรมธาตุญาณ (รู้เแจ้งแทงตลอดในธรรมทั้งปวง) อทรรศนญาณ (รู้แจ้งในปรากฏการณ์ธรรมทั้งปวง) สมตาญาณ (เล็งเห็นสรรพสิ่งเท่าเทียมกัน) ปรัตเยกกษนาญาณ (เล็งเห็นว่าสรรพสัตว์ล้วนเสมอเหมือนกัน) กฤตยานุษฐานญาณ (รู้ในสมมติฐานของสรรพสัตว์)
หัวใจของการกราบคือการถ่อมตน และชำระกาย วาจา ใจ เพื่อเปิดปัญญาญาณนั่นเอง


