แปรก้านต้นปาล์ม เลี้ยงด้วง
ปัจจุบันเศรษฐกิจภาคใต้เผชิญกับวิกฤตราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำเหลือกิโลกรัมละ 2 บาท
โดย ปริญญา ชูเลขา
ปัจจุบันเศรษฐกิจภาคใต้เผชิญกับวิกฤตราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำเหลือกิโลกรัมละ 2 บาท ส่งผลทำให้เกิดปัญหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องแสนลำเค็ญ ยกเว้นครอบครัว “สมศักดิ์ หนูแดง” หรือ “ลุงสง่า” อยู่บ้านเลขที่ 120/129 หมู่ 15 ต.ประสงค์ อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี พลิกวิกฤตราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำเป็นโอกาสทองด้วยการเพิ่มมูลค่า “ก้านต้นปาล์ม” หรือ “ทางปาล์ม” ตามภาษาถิ่น นำมาเป็นอาหารเลี้ยงด้วงสาคู หรือด้วงมะพร้าว กำลังสร้างรายได้จุนเจือครอบครัวหลายหมื่นบาทต่อเดือน
สมศักดิ์ กล่าวว่า หลักคิดคือจะหาวิธีทำอย่างไรให้เลี้ยงแบบต้นทุนต่ำที่สุด และจะใช้เศษวัสดุเหลือใช้ของทางต้นปาล์มในสวนที่มีอยู่เต็มไปหมดรอบๆ บ้านมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไร จึงนำมาทดลองเลี้ยงด้วงสาคู ช่วงแรกไปซื้อพ่อพันธุ์แม่พันธุ์มาเลี้ยง จากต้นด้วงสาคูที่มีอยู่ในสวนอยู่แล้ว มา
ทดลองเพาะขยายพันธุ์ในกะละมัง เรียนรู้ด้วยตัวเองลองผิดลองถูกผสมกับดูจากสื่อโซเชียลมีเดียในยูทูบ แรกๆ เน้นให้อาหารตามที่ยูทูบบอก คือ ขุยมะพร้าว แต่เห็นว่าน่าจะใช้วัสดุอื่นแทนได้ จากนั้นทดลองมาใช้ทางปาล์มขูดฝอยปรากฏว่าได้ผลและตัวด้วงสาคูอ้วนสมบูรณ์มากจนเป็นที่ต้องการของตลาด
สำหรับขั้นตอนการเลี้ยงไม่ยุ่งยาก เพียงแบ่งพื้นที่โล่งๆ ไม่กี่ตารางเมตร จึงใช้พื้นที่โรงจอดรถ เลี้ยงแบบธรรมชาติ ใส่ในกะละมังพลาสติกขนาด 50 ซม.ให้เป็นที่พักให้ตัวอ่อนอาศัย ใส่ขุยต้นสาคู และทางปาล์มที่ผ่ามาปอกเปลือกแล้วนำไปบดด้วยเครื่องบด ผสมกับรำและหัวอาหารหมูเป็นอาหารหลักคลุกผสมกัน ใส่กะละมังเติมน้ำลงไปให้พอแฉะๆ นำพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ลงปล่อย 5-6 คู่ต่อ 1 กะละมัง
ขณะเดียวกันให้ใช้เปลือกมะพร้าวปิดหน้าไว้ ด้านบนปิดด้วยฝาพลาสติกลักษณะตะแกรงระบายอากาศ เพื่อป้องกันพ่อแม่พันธุ์บินหนี ที่สำคัญต้องหมั่นดูแลไม่ให้อาหารแห้งโดยการพรมน้ำเป็นระยะ จากนั้นรอให้พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ผสมพันธุ์จนออกไข่ จากนั้นประมาณ 7 วัน จะเกิดตัวอ่อนให้จับแยกพ่อแม่พันธุ์ไปเลี้ยงในกะละมังใบใหม่เพื่อขยายพันธุ์ต่อไป
“ครั้งแรกเลี้ยงเพียงไม่กี่คู่ ประมาณ 7 วัน ได้ตัวอ่อนด้วงกว่า 100 ตัว จึงเริ่มศึกษาวงจรชีวิต ลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ ราว 1-2 เดือน ก็เริ่มจับจุดได้ คือ สามารถแยกตัวผู้หรือตัวเมียเป็น จึงสามารถขยายพันธุ์เองได้ โดยไม่ต้องไปซื้อพ่อพันธุ์แม่พันธุ์จากฟาร์ม จนวันนี้สามารถขยายการเพาะพันธุ์เป็น จนวันนี้เพาะได้กว่า 50 กะละมัง พอมีรายได้เสริมเลี้ยงครอบครัว” ลุงสง่า กล่าว
สมศักดิ์ กล่าวอีกว่า หลังจากเลี้ยงจนตัวหนอนโตประมาณเท่านิ้วโป้ง ใช้เวลาประมาณ 20 วัน สามารถจับส่งขายได้แล้ว แต่หากต้องการเลี้ยงเพื่อเป็นพ่อแม่พันธุ์ ต้องเลี้ยงไปอีกประมาณ 20 วัน ตัวหนอนจะเริ่มเข้าฝักเป็นดักแด้ จากนั้นอีกราว 10 วัน จะออกมาเป็นตัวด้วงสาคูครบวงจรชีวิตด้วงสาคูประมาณเดือนกว่าๆ ส่วนตัวอ่อนด้วงที่จับขายกิโลกรัมละ 250 บาท
ทั้งนี้ ทำให้แต่ละเดือนมีรายได้หลายหมื่นบาท ซึ่งลักษณะด้วงสาคูที่โตเต็มวัยเป็นพ่อพันธุ์ มีลักษณะลำตัวปีกสีน้ำตาลดำ อกสีน้ำตาลมีจุดสีดำ ตัวผู้มีงวงสั้นกว่าตัวเมีย และมีขนสั้นด้านบนของงวง ส่วนตัวเมียงวงจะเรียวยาวไม่มีขน เมื่อคัดเลือกตัวพ่อแม่ที่สมบูรณ์แล้วจะแยกลงกะละมังมาเก็บไว้
“เลี้ยงด้วงสาคูไม่ยุ่งยากและต้นทุนการเลี้ยงต่ำมาก เพราะใช้ทางปาล์มที่มีอยู่เต็มในพื้นที่มาเป็นอาหารหลัก ลงทุนครั้งแรกราวๆ 1,500 บาท ต้นทุนหนักไปกับการซื้อกะละมังกับฝาครอบที่เป็นตะแกรงพลาสติกปิดกะละมังชุดละร้อยกว่าบาท ปัจจุบันที่บ้านเลี้ยงประมาณ 50 กะละมัง” ลุงสง่า เล่า
ปัจจุบันด้วงสาคูนำไปประกอบอาหารได้หลากหลาย เช่น ทอด คั่วเกลือ หมก แกง หรือผัด รสชาติอร่อย มีโปรตีนสูงไม่แพ้โปรตีนจากเนื้อสัตว์นิยมรับประทานกันแพร่หลาย เสนอราคาขายส่งกิโลกรัมละ 250 บาท ทุกวันนี้ผลิตขายในชุมชนเป็นหลัก ส่วนลูกค้าที่อยู่ต่างจังหวัดสามารถสั่งซื้อผ่านเฟซบุ๊ก Omchai Noodaeng
อย่างไรก็ตาม ใครที่สนใจศึกษาดูงาน หรือขอองค์ความรู้ ต้องการทราบวิธีการเลี้ยง ตลอดจนอยากลองชิมรสชาติแสนอร่อยของด้วงชนิดนี้ ติดต่อได้ที่คุณอ้อมใจ(ลูกสาว) 08-1432-4993 ได้ทุกวัน พร้อมจะแนะนำเคล็ดลับการเลี้ยงด้วงสาคู
นับเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่น่าสนใจเพื่อสู้กับสภาวะราคายางพาราและปาล์มตกต่ำ ที่สำคัญเป็นนวัตกรรมชุมชนด้านสิ่งแวดล้อม ที่ชาวบ้านสามารถนำเศษพืชผลทางการเกษตรเหลือใช้จาก “ทางปาล์ม” ตรงเป๊ะกับแนวคิดขยะเหลือศูนย์ หรือ Zero Waste แนวคิดที่ยึดหลักการการกำจัดขยะให้หมดสิ้นไม่เหลือ แต่สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล นำกลับมาใช้ใหม่ และเป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ถือเป็นแนวคิดที่น่าขยายผลว่า “ทางปาล์ม” จะนำไปทำประโยชน์สิ่งใดได้อีกบ้าง นอกจากเป็นอาหารเลี้ยงด้วงสาคูสร้างรายได้เสริมให้แก่คนปักษ์ใต้


