posttoday

‘กรีน คอสตาริกา’ ไทยสมควรเลียนอย่าง

16 ธันวาคม 2561

ได้อ่านรายงานข่าวและภาพของเอเอฟพี

โดย พริบพันดาว ภาพ : เอเอฟพี  

ได้อ่านรายงานข่าวและภาพของเอเอฟพี ถึงบรรดาอาสาสมัครกำลังช่วยกันลำเลียงขวดพลาสติกมากกว่า 25 ตัน หรือกว่า 2.5 หมื่นกิโลกรัม ซึ่งรวบรวมภายในเวลา 8 ชั่วโมงเพื่อนำไปทำการหมุนเวียนผลิตใหม่กลับมาใช้อีกครั้งหรือรีไซเคิล ที่ภูมิภาคเฮเรเดีย ประเทศคอสตาริกา เพื่อจะได้บันทึกเป็นสถิติโลกลงในหนังสือกินเนส เวิลด์ เรกคอร์ด อย่างเป็นทางการ

โครงการนี้ดำเนินการโดยองค์กรอีโคโลเนส เพื่อจัดทำเอกสารต่างๆ ที่แสดงถึงกระบวนการในการเก็บรวบรวมขวดพลาสติกได้มากและเร็วที่สุดของโลกส่งไปยัง เดอะ กินเนส เวิลด์ เรกคอร์ด สถาบันบันทึกสถิติโลกที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของโลก ซึ่งมีความหวังจะผ่านและสามารถสร้างสถิติใหม่สำเร็จ แทนที่ประเทศอินเดีย ซึ่งทำสถิติโลกไว้ที่ 23,539 กิโลกรัม

คอสตาริกาทิ้งขยะพลาสสติกประมาณ 564 ตัน หรือ 5.64 แสนกิโลกรัม/วัน และมีเพียง 14 ตันเท่านั้นที่ถูกนำมาหมุนเวียนผลิตใช้ซ้ำ กระทรวงสุขภาพและสิ่งแวดล้อมจึงได้บรรจุกระบวนการจัดการขยะในประเทศกันใหม่ โดยมีโครงการส่งเสริมการนำขยะมาผลิตใช้ซ้ำหรือรีไซเคิล เพิ่มมูลค่าเพื่อดึงดูดใจประชาชนสามารถนำขยะมาแลกเป็นเงิน หรือให้ผู้บริโภคได้ส่วนลดจากร้านค้าเพิ่มหากไม่ใช้พลาสติก

นอกจากนี้ ยังมีการวิจัยถุงพลาสติกจากวัสดุที่มาจากต้นกล้วย ซึ่งมีความทนทานมากกว่าถุงพลาสติกทั่วไปถึง 5 เท่า สามารถย่อยสลายได้เองภายใน 18 เดือน และยังปล่อยสารที่มีคุณสมบัติกำจัดศัตรูพืชระหว่างการย่อยสลายได้อีกต่างหาก อีกทั้งคอสตาริกายังวางแผนจะแทนที่ถุงพลาสติกปกติ ด้วยพลาสติกที่สามารถละลายน้ำได้ภายใน 6 เดือนโดยไม่เป็นพิษกับท้องทะเล

‘กรีน คอสตาริกา’ ไทยสมควรเลียนอย่าง

ว่าไปแล้วในรอบทศวรรษที่ผ่านมา คอสตาริกาเป็นประเทศตัวอย่างของโลกด้านนโยบายสิ่งแวดล้อม มีเป้าหมายที่จะเป็นประเทศแรกหรือหนึ่งในประเทศต้นแบบของโลก ในการยกเลิกการใช้ถุงพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง (Single Use Plastic) และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเท่ากับศูนย์ (Carbon Neutral) ภายในปี 2021 ซึ่งเป็นปีที่ 200 ของการได้รับอิสรภาพจากสเปนและประกาศเอกราชของคอสตาริกา ซึ่งเหลือเวลาอีก 3 ปีเท่านั้น โดยเริ่มอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่ปี 2008 ซึ่งปัจจุบันครบ 10 ปีพอดี

สาธารณรัฐคอสตาริกาเป็นประเทศในภูมิภาคอเมริกากลาง มีอาณาเขตจรดประเทศนิการากัวทางทิศเหนือ จรดประเทศปานามาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ จรดมหาสมุทรแปซิฟิกทางทิศตะวันตกและทิศใต้ และจรดทะเลแคริบเบียนทางทิศตะวันออก ได้ชื่อว่าเป็น “สวิตเซอร์แลนด์ของอเมริกากลาง” รวมถึงถูกยกย่องให้เป็นเมืองหลวงของนกฮัมมิงเบิร์ด เพราะ 1 ใน 4 ของนกฮัมมิงเบิร์ดจำนวนกว่า 300 สายพันธุ์อาศัยอยู่ที่นี่

ปัจจุบัน คอสตาริกาเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าในประสิทธิภาพด้านสิ่งแวดล้อม จากการใช้พลังงานทดแทน มีจำนวนประชากรเพียง 5 ล้านคน เนื่องจากสภาพภูมิศาสตร์ทำให้มีพืชพันธุ์ไม้อุดมสมบูรณ์ที่ไม่สามารถพบได้ในประเทศอื่น มีพื้นที่เป็นเขตป่าสงวนมากถึงร้อยละ 25 ของประเทศ และถือเป็นประเทศแรกในทวีปอเมริกาที่ออกกฎหมายห้ามล่าสัตว์ทุกชนิด

มูลนิธินิว อีโคโนมิกส์ (New Economics Foundation-NEF) ประกาศให้เป็นประเทศที่มีความเขียวชอุ่ม หรือมีป่าไม้ที่สมบูรณ์ที่สุดในโลกอีกด้วย

‘กรีน คอสตาริกา’ ไทยสมควรเลียนอย่าง

คอสตาริกาเริ่มปลูกต้นไม้นับล้านๆ ต้นไว้ตั้งแต่ปี 1984 ซึ่งในขณะนั้น ประเทศมีพื้นที่ป่าเพียงร้อยละ 26 จนกระทั่งวันนี้พื้นที่ป่ามีมากกว่าร้อยละ 52 อีกทั้งยังเป็นประเทศแรกที่มีการจัดตั้งหน่วยงานที่ดูแลด้านสิ่งแวดล้อมแบบครบวงจรเป็นหน่วยงานเดียวกันภายใต้ชื่อ “Ministry of Environment, Energy and Telecommunications : MINAET” เพื่อลดความซ้ำซ้อนของหน่วยงานที่ดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อมภายในประเทศ

เศรษฐกิจคอสตาริกาแต่เดิมขึ้นกับการส่งออกกาแฟ โกโก้ ข้าว กล้วยหอม ถั่ว และเนื้อวัว เป็นผู้ส่งออกกล้วยหอมมากเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากเอกวาดอร์ แต่ในระยะ 20 ปีที่ผ่านมา สินค้าส่งออกทางเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้พัฒนามากขึ้น และกลายเป็นที่มาของรายได้หลักของประเทศแทนที่สินค้าเกษตร โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และการขายบริการทางการแพทย์ระหว่างประเทศ กลายเป็นที่มาสำคัญของรายได้ของคอสตาริกาปัจจุบัน

โดยเฉพาะกาแฟที่เป็นผลผลิตส่งออกมูลค่ามากกว่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ/ปี ผ่านสัญลักษณ์รับรองจาก Rainforest Allianceอันเป็นหลักฐานยืนยันว่าไร่กาแฟของพวกเขาเป็นมิตรต่อสัตว์ป่า ดิน น้ำ และชุมชนโดยรอบ รวมทั้งมีการใช้แรงงานที่โปร่งใส

ปัจจุบันอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทำรายได้เข้าประเทศกว่า 60% ผ่านจุดขายการฅท่องเที่ยวเชิงนิเวศ (Ecotourism) ที่เป็นเสาหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้คอสตาริกา

‘กรีน คอสตาริกา’ ไทยสมควรเลียนอย่าง

อีกจุดที่สำคัญคือการใช้พลังงานสะอาด ในปี 2017 คอสตาริกาได้เฉลิมฉลองความสำเร็จจากการใช้พลังงานหมุนเวียนภายในประเทศแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ ได้นานถึง 300 วัน ซึ่งพลังงานส่วนใหญ่มาจากพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ และพลังงานความร้อนใต้พิภพที่ประเทศสามารถผลิตได้เอง ไม่ได้ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลใดๆ เพื่อผลิตไฟฟ้าทั้งหมดของประเทศเลย ทำลายสถิติของตัวเองที่เคยใช้พลังงานหมุนเวียนทำได้ 299 วันติดต่อกันในปี 2015 และ 271 วันในปี 2016

ความสำเร็จนี้เริ่มต้นวางรากฐานมาตั้งแต่ยุคในทศวรรษที่ 50 คอสตาริกาเริ่มลงทุนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ และทำให้ปัจจุบันนี้คอสตาริกาไม่จำเป็นต้องใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ปัจจุบันการผลิตไฟฟ้าของประเทศจำนวน 99.62% มาจาก 5 แหล่งพลังงานทดแทนจากธรรมชาติ คือไฟฟ้าพลังน้ำ 78% ลม 10% พลังงานความร้อนใต้พิภพ 10% ชีวมวลและแสงอาทิตย์ 1%

แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม คอสตาริกาก็ยังต้องพึ่งพา “น้ำมัน” เกือบ 70% ของการใช้พลังงานทั้งหมด ก็เพราะระบบการขนส่งคมนาคมของคอสตาริกาขึ้นอยู่กับเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นหลักเหมือนในหลายประเทศ

ในยุคทศวรรษที่ 1990 คอสตาริกาเป็นผู้บุกเบิกการชำระเงินสำหรับบริการระบบนิเวศ (Payment for Ecosystem) และช่วยให้ลดการตัดไม้ทำลายป่าและเพิ่มการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ซึ่งปัจจุบันเป็นกลไกสำคัญของการเติบโต ดังนั้นการลงทุนเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมจึงไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของคอสตาริกา

‘กรีน คอสตาริกา’ ไทยสมควรเลียนอย่าง

องค์กรวิจัยเอกชน New Economics Foundation จัดอันดับประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก โดยใช้ดัชนีโลกแห่งความสุข (Happy Planet Index) ซึ่งพิจารณาจากความพึงพอใจของประชาชน ช่วงอายุเฉลี่ยประชากร และผลกระทบที่มีต่อระบบนิเวศทางธรรมชาติของประเทศต่างๆ 143 ประเทศ และครอบคลุมถึงประชากรโลกราว 99% ผลปรากฏว่า คอสตาริกานำมาเป็นอันดับที่ 1 โดยประชากรคอสตาริกามีช่วงอายุเฉลี่ย 78 ปีครึ่ง สูงเป็นอันดับที่ 2 รองจากแคนาดา ในขณะที่ชาวคอสตาริการาว 85% บอกว่ามีความสุข และพึงพอใจกับชีวิตที่เป็นอยู่ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ

ส่วนรายงานความสุขโลก (World Happiness Index) ประจำปี 2017 แสดงดัชนีชี้ว่าชาวคอสตาริกามีความสุขที่สุดในบรรดาคนชาติลาตินอเมริกาด้วยกันเองแล้ว และติดอยู่ที่อันดับที่ 12 ของโลก คอสตาริกาเป็นประเทศแรกในทวีปอเมริกาที่ออกกฎหมายห้ามล่าสัตว์ทุกชนิด และในด้านสิ่งแวดล้อมนั้น คอสตาริกาคือหนึ่งในประเทศที่มีระบบนิเวศสมบูรณ์สะอาดและสวยงามที่สุดในโลก

รูปแบบด้านนโยบายสิ่งแวดล้อม พลังงาน การเกษตร และการท่องเที่ยว ของคอสตาริกา เหมาะสมกับการนำมาใช้ในประเทศไทยมากๆ เพราะมีทรัพยากรในด้านเศรษฐกิจที่คล้ายคลึงกัน เพราะไทยได้ลงนามใน “ข้อตกลงภูมิอากาศปารีส” จากประชุม COP21 ในปี 2015 ที่ผ่านมา โดยให้สัญญาและคำมั่นว่าต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ไดออกไซด์ลง 20-25% ภายในปี 2030 ตามข้อตกลงที่ว่าจะเริ่มมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2020 หรือในอีก 2 ปีข้างหน้า

ข่าวล่าสุด

ผลบอล โยเคเรสซัดโทษ! อาร์เซน่อล1-0 เอฟเวอร์ตัน,ลิเวอร์พูล 2-1