กฎหมายกับจิตสำนึก
ผมนึกเคลิ้มๆ ไปว่า สังคมไทยนี้ใฝ่หาความเป็นนิติรัฐโดยแท้
โดย อภิวัจ สุปรีชาวุฒิพงศ์
ผมนึกเคลิ้มๆ ไปว่า สังคมไทยนี้ใฝ่หาความเป็นนิติรัฐโดยแท้ เวลาเรามีปัญหาอะไรก็มักจะเรียกร้องให้ใช้มาตรการทางกฎหมายเข้ามาแก้ปัญหาอยู่เรื่อยไป
ล่าสุดกรณีมีผู้ขี่จักรยานยนต์บนทางเท้าแล้วชนเด็กนักเรียนบาดเจ็บ เสียงเรียกร้องให้บังคับใช้กฎหมายกับผู้ละเมิดกฎขับขี่บนทางเท้าก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
ดังขึ้นเหมือนๆ กับเมื่อ 2 เดือนก่อนที่เกิดเหตุคนขับรถบนไหล่ทางไปชนรถที่จอดเสียอยู่คันหนึ่งจนเจ้าของรถคันนั้นกระเด็นตกลงมาจากทางด่วนเสียชีวิต หรือหลายเดือนก่อนที่ป้าทุบรถซึ่งมาจ่ายตลาดแต่จอดขวางทางเข้าออกบ้าน โดยตลาดดังกล่าวตั้งขึ้นโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือกรณีทุจริตคอร์รัปชั่นที่เราเรียกร้องกฎหมายให้ลงโทษสูงสุด และอื่นๆ อีกมากมาย คดีเสือดำ คดีข่มขืน ที่เราเรียกร้องการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด
เราเรียกร้องกันมาทุกยุคสมัย แต่ปัญหาก็ยังคงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วเราก็เรียกร้องการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดจริงจังกันต่อไป
เราต้องเรียกร้องกันอีกเท่าไหร่ ปัญหาจึงจะหมดไป บางทีคำตอบอาจอยู่ในคำพูดของ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
“การขับขี่บนทางเท้าผิดกฎหมายและเป็นการเอาเปรียบสังคม คนที่ทำต้องแก้พฤติกรรมของตนเองและมีสำนึก ต้องขัดเกลาจริยธรรมของตนเอง...อัตราการปรับ ทาง กทม.ตั้งไว้สูงแล้ว...ต้องย้ำว่าทุกคนต้องรับผิดชอบต่อสังคม...มนุษย์ต้องขัดเกลาจริยธรรมของตนเอง”
คำพูดของผู้ว่าฯ กทม. มีมุมมองที่น่าสนใจว่า การแก้ปัญหาในสังคมนั้นควรใช้กฎหมายหรือจิตสำนึก
ถ้ากฎหมายคือการกำหนดกฎเกณฑ์ให้คนกระทำตาม จิตสำนึกก็น่าจะเป็นเหตุผลที่แต่ละคนจะบอกกับตัวเองว่าจะกระทำหรือไม่กระทำตาม
การบังคับใช้อย่างเข้มงวดมีประสิทธิภาพ บทลงโทษที่น่าเกรงกลัว อาจส่งผลให้คนไม่กล้าทำผิดกฎหมาย เพียงแต่หากสามารถหลบเลี่ยง หากไม่มีใครพบเห็น หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายรู้เห็นเป็นใจ ยอมรับผลประโยชน์ ก็ไม่แน่ว่าจะทำผิดกฎหมายเพื่อประโยชน์ส่วนตน
ระหว่างจิตสำนึกและกฎหมายจึงไม่มีสิ่งใดสำคัญกว่ากัน เพียงแต่ต้องหนุนเสริมซึ่งกันและกัน
จิตสำนึกที่เห็นแก่สังคม เห็นแก่ส่วนรวม ถ้าส่วนรวมดี สังคมดี เราก็จะพลอยได้รับผลดีไปด้วย แต่ถ้าทำเพื่อให้ส่วนตัวเราได้รับแต่สิ่งดี โดยไม่คำนึงว่าจะส่งผลเสียกับสังคมส่วนรวมเป็นอย่างไร เราก็จะมีความเสี่ยง
ว่ากันว่า สังคมญี่ปุ่นสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็หาได้เป็นสังคมที่มีวินัยแต่อย่างใด กว่าญี่ปุ่นจะสร้างคนในชาติให้มีระเบียบวินัยอย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน ก็ต้องบ่มเพาะปลูกฝังจากรุ่นสู่รุ่น การพลิกฟื้นประเทศชาติจากสถานะผู้แพ้สงครามให้กลับมารุ่งเรืองสดใสได้ก็ต้องฝากอนาคตไว้กับคนรุ่นใหม่ สืบทอดพันธกิจกันจากรุ่นสู่รุ่น
จิตสำนึก แม้จะใช้เวลายาวนานในการเพาะสร้าง แต่ผลที่ได้นั้นคือความยั่งยืน
ขณะที่กฎหมายก็ต้องสอดคล้องกับสังคม ความเป็นนิติรัฐนั้นนอกจากจะใช้กฎหมายเป็นหลักในการปกครองแล้ว กฎหมายนั้นยังต้องมีที่มาจากประชาชนหรือตัวแทนของประชาชน รัฐต้องดำเนินการตามกฎหมาย จะใช้อำนาจนอกเหนือกฎหมายไม่ได้
ที่สำคัญสังคมสามารถที่จะตรวจสอบและควบคุมการใช้อำนาจตามกฎหมายนั้นได้
เสียงเรียกร้องให้ใช้กฎหมายเข้ามาแก้ปัญหาต่างๆ ในวันนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความบกพร่องต่างๆ ในโครงสร้างสังคม โครงสร้างที่ไม่อาจมั่นใจได้ว่าจะมีความมั่นคงปลอดภัย
ในยุคสมัยที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บางทีการกำหนดยุทธศาสตร์ในระยะยาว20 ปี ก็อาจไม่ทันการณ์ ในขณะที่การเปิดโอกาสให้สังคมได้เข้ามามีส่วนปฏิรูประบบต่างๆ ในโครงสร้าง ก็ยังไม่มีช่องทางที่ชัดเจน
ในภาวะเช่นนี้ เสียงเรียกร้องให้ผู้มีอำนาจหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเพื่อแก้ปัญหาก็จะยังคงได้ยินกันต่อไปไม่รู้จบ


