'ทำสิ่งใดต้องไปให้สุดทาง’ แรงขับนักวิทย์ดาวรุ่งของประเทศ
ความใฝ่ฝันที่แน่วแน่ตั้งแต่วัยเด็กเป็นแรงขับเคลื่อนชีวิตให้ รศ.ดร.หทัยกานต์ มนัสปิยะ
โดย ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม, กันติพิชญ์ ใจบุญ
ความใฝ่ฝันที่แน่วแน่ตั้งแต่วัยเด็กเป็นแรงขับเคลื่อนชีวิตให้ รศ.ดร.หทัยกานต์ มนัสปิยะ หรือ อาจารย์ปุ๊ก รองผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีปิโตรเคมีและวัสดุ ทำงานอย่างมุ่งมั่นและมีเป้าหมาย จนวันนี้เธอได้รับการยอมรับในฐานะนักวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่สำคัญคนหนึ่งของประเทศไทย
ตำแหน่งทางวิชาการในระดับรองศาสตราจารย์ พ่วงด้วยดีกรีปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา คงเพียงพอกับคำว่าบุคลากรที่สำคัญของวงการศึกษาและงานวิจัยด้านเทคโนโลยีวิทยาการ แต่หากเธอยังทำให้โลกเป็นที่ยอมรับในฐานะ “หญิงไทย” เพียงไม่กี่คนที่คว้ารางวัล “โครงการทุนวิจัย ลอรีอัล ประเทศไทย เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” (L’oreal - UNESCO Award For Woman in Science) อันเป็นรางวัลใหญ่ที่ลอรีอัลร่วมกับองค์การยูเนสโกเชิดชูเกียรติคุณอาจารย์ผู้นี้ จากผลงานวิจัย “การพัฒนาวัสดุรูพรุนเพื่อการดักจับโลหะหนัก หรือดักจับก๊าซในบรรจุภัณฑ์เพื่อพัฒนาคุณภาพน้ำ และอาหาร และการสังเคราะห์ดินเหนียวนาโน”
เรียกง่ายๆ ว่าเป็นการวิจัยเพื่อพัฒนาบรรจุภัณฑ์จากดินเหนียวในประเทศ สำหรับบรรจุภัณฑ์ผลไม้ไทยส่งออกขายยังต่างประเทศ ที่สำคัญคือยืดอายุผลไม้ได้ และป้องกันการเน่าเสีย
ความคิดที่ผุดขึ้นมาตั้งแต่วัยเยาว์ว่าหากจะทำสิ่งใดแล้วก็ต้องเดินหน้าทำให้ถึงที่สุด จากเด็กสาวภูมิลำเนา จ.ตรัง จึงก้าวเท้าขึ้นมาเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับประเทศตามความตั้งใจของเธอ
อาจารย์ปุ๊กย้อนวัยเด็กให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นถึงฉากชีวิตของเธอ แม้จะเป็นเด็กที่เรียนหนังสือเก่งมาโดยตลอด การันตีรางวัลนักเรียนดีเด่นของ จ.ตรัง แต่ก็มีความชื่นชอบในการทำกิจกรรมเป็นอย่างมากตั้งแต่เด็ก เธอวิ่งโร่ประกวดทุกเวที ทั้งร้องเพลง เล่านิทาน บ่อยครั้งที่พ่อแม่ผู้ปกครองก็ไม่ทราบ เพราะเธอมักหนีหายแอบไปประกวดตามงานต่างๆ คนเดียว จนถึงเป็นประธานนักเรียน
ชีวิตผกผันเมื่อเรียนจบชั้น ป.6 อาจารย์ปุ๊กในขณะนั้นตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะสอบเข้าโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานีให้ได้ แม้จะมีเสียงคัดค้านจากพ่อแม่ที่เป็นห่วงเพราะตัวยังเล็กแต่ต้องไปเรียนห่างไกลบ้าน แต่แล้วเธอก็พิสูจน์ให้ที่บ้านเห็นว่าอยู่ได้ เอาตัวรอดได้ และร่ำเรียนอย่างมีความสุข
“การอยู่ที่โรงเรียนสาธิตทำให้เราต้องอยู่หอพักตั้งแต่เด็ก ช่วยพัฒนาตัวเองได้ ทั้งเรื่องเรียนที่ต้องช่วยเหลือกันกับเพื่อน หลังเลิกเรียนก็ลุยกิจกรรมต่างๆ ทั้งเชียร์ลีดเดอร์ ดนตรีไทย สากล ตกค่ำก็ทำงานกับรุ่นพี่ที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยบ้าง ชีวิตเป็นแบบนี้กระทั่งถึงชั้น ม.5 ที่เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต”
จุดเปลี่ยนที่ว่า ทำให้เธอเห็นโลกของวิทยาศาสตร์ที่เป็นฐานรากของการพัฒนาสรรพสิ่งต่างๆ ในอนาคต โดยหลังจากสอบเทียบชั้น ม.6 ได้แล้ว สามารถเอนทรานซ์เข้าคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเธอก็ทำได้สำเร็จโดยเลือกเรียนด้านพอลิเมอร์ ซึ่งขณะนั้นถือเป็นของใหม่สำหรับประเทศไทย แต่สำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีแล้ว มันคือแสงสว่างแห่งอนาคต
รศ.หทัยกานต์ เล่าว่า ขณะนั้นก็คิดว่าอยากจะพาตัวเองเข้าสู่แวดวงอุตสาหกรรมปิโตรเคมี แต่ความคิดที่ฝังอยู่กับตัวเองมาอย่างยาวนานคือ ทำอะไรต้องทำให้สุด ขณะที่เรียนชั้นปริญญาตรี ปี 3 ก็ได้ตัดสินใจว่าจะเรียนต่อและสอบชิงทุนเพื่อไปเรียนให้จบปริญญาเอก
“อย่างที่บอกค่ะ ทำอะไรก็ต้องไปให้สุดเลย พอคิดแวบแรกก็ตัดสินใจทันทีว่าจะไป ส่วนหนึ่งเพราะเราแน่วแน่และมั่นใจกับสิ่งที่ทำและเชื่อมั่นตัวเองว่าจะต้องทำได้ เรียกง่ายๆ ว่าพอคิดจะทำก็ต้องทำทันที บอกกับที่บ้าน บอกเพื่อนที่รัก มันจะได้มัดตัวเราและเราจะต้องทำจริง” อาจารย์ปุ๊กบอกเล่าถึงตัวเองพร้อมเสียงหัวเราะ
ชื่อชั้นด้านวิศวกรรมวัสดุในแง่วิชาการของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา ถือเป็นเบอร์ต้นๆ ในด้านนี้ ทำให้อาจารย์ปุ๊กตัดสินใจเลือกสถาบันแห่งนี้เพื่อเรียนต่อหลังจากได้รับทุนจากรัฐบาล และร่ำเรียนจนสำเร็จถึงระดับปริญญาเอกตามที่
ตั้งใจเอาไว้
อาจารย์ปุ๊ก เล่าอีกว่า จากที่เลือกสาขาวิชาที่ร่ำเรียนคือด้านวัสดุพอลิเมอร์ แต่แล้วอาจารย์ที่ปรึกษาแนะนำว่าเรียนด้านนี้มาเยอะแล้ว ก็ควรจะเรียนอย่างอื่นบ้าง ทำให้มีโอกาสได้ลงวิชาเรียนด้านวิศวกรรมไฟฟ้า วิศวกรรมเคมี ซึ่งที่นี่จะเปิดโอกาสให้เรียนอะไรก็ได้ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยของเรา ไม่จำเป็นจะต้องเรียนอยู่ภาคเดียว เพราะวิทยาศาสตร์ในแง่การต่อยอดพัฒนามันมีความหลากหลายไม่น้อย
เมื่อกลับมายังประเทศไทยและพกความรู้มาเต็มที่ ได้ทำงานที่วิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมี จุฬาฯ ซึ่งเปิดสอนในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก หลักสูตรนานาชาติ อาจารย์ปุ๊กจึงพร้อมที่จะถ่ายทอดให้กับนิสิตนักศึกษา และปัจจุบัน รศ.หทัยกานต์ ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีปิโตรเคมีและวัสดุ ที่ได้รับความร่วมมือจาก 4 มหาวิทยาลัยชั้นนำของไทย คือ จุฬาฯ เกษตรศาสตร์ เทคโนโลยีสุรนารี และศิลปากร เปิดโอกาสการทำงานร่วมกับภาคอุตสาหกรรมมากยิ่งขึ้น
แต่หากให้ย้อนกลับไปก็เจอคำถามที่ว่า วิทยาศาสตร์น่าจะเป็นเรื่องยากสำหรับหลายๆ คน ทว่าสำหรับอาจารย์ปุ๊กแล้ว สิ่งใดที่ทำให้หลงใหล คำตอบคือ วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีมีทางเลือกใหม่เสมอ ช่วงที่เอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยทำให้เจอคำตอบนี้ พอเรียนแล้วยิ่งย้ำชัดว่าเธอชอบวิทยาการและเทคโนโลยีซึ่งมีฐานรากมาจากวิทยาศาสตร์ และชอบที่จะประยุกต์วิทยาศาสตร์ให้กลายเป็นเทคโนโลยีเพื่อนำไปสู่นวัตกรรมใหม่ๆ
มองดูเหมือนชีวิตมันราบรื่น แต่สำหรับเธอแล้วเมื่อเจอปัญหา ทางออกของเธอที่คุ้นชินคือเป็นคนคิดบวก และยิ้มได้ตลอดเวลา
“เจอปัญหาก็ไม่ค่อยบอกใคร พยายามนั่งคิดและแก้ไปเรื่อยๆ หรือเจอปัญหาก็จะไม่วิตกมาก เมื่อเห็นทางออกก็จะไม่เก็บมาคิดกับเรื่องนี้อีกเลย หาทางแก้ที่ราบรื่น โชคดีที่สิ่งแวดล้อมรอบข้างเป็นสิ่งดีด้วย ทั้งเพื่อนร่วมงาน นิสิต เรามอบสิ่งดีๆ ให้ คนก็จะมอบสิ่งดีๆ กลับมา คิดแบบนี้เสมอ”
และสิ่งที่ต้องการพัฒนาต่อไปในอนาคตนอกเหนือไปจากผลิตบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ออกมาแล้ว เธอยังทำหน้าที่กระตุ้นให้นักวิทยาศาสตร์ทำงานวิจัยให้มากยิ่งขึ้นผ่านหน้าที่ความรับผิดชอบขณะนี้ เพราะประเทศไทยจะก้าวไกลได้ก็ด้วยการวิจัยและพัฒนา เพราะนักวิจัยคือกำลังสำคัญในการพัฒนาชาติ


