อมตะ เซ็นสัญญาแคนาดอลกรุ๊ป ตั้งโรงรีดแผ่นเหล็ก

อมตะ เซ็นสัญญาแคนาดอล กรุ๊ป  ทุ่ม 20,000 ล้านบาท ตั้งโรงงานแปรรูปแผ่นเหล็กรีดร้อนผลิตท่อแก๊ส บนพื้นที่ 569 ไร่ จ่อตอกเสาเข็มปีหน้า 

นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่ปฎิบัติการ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  ขณะนี้อมตะได้มีการลงนามเซ็นสัญญาซื้อขายที่ดินกับบริษัทแคนาดอล กรุ๊ป จำกัด (Canadoil)  ผู้ผลิตท่อเหล็กส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติชั้นนำของโลก  จัดตั้งโรงงานแปรรูปแผ่นเหล็กรีดร้อนเพื่อการผลิตท่อสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมพลังงาน  บนพื้นที่ 569 ไร่ ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง  ด้วยกำลังการผลิตถึง 1.2 ล้านตันต่อปี   และคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างภายในปี 2554

ทั้งนี้  ทางบริษัทแคนาดอล  ได้รับการพิจารณาในสิทธิประโยชน์ต่างๆจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) แล้ว โดยจะเตรียมวางแผนงบประมาณการลงทุนสำหรับโรงงานดังกล่าวในเบื้องต้นมากกว่า 20,000 ล้านบาท  โดยดีลนี้มีส่วนช่วยสนับสนุนให้ยอดขายที่ดินของ AMATA ในปีนี้เพิ่มขึ้นได้ตามเป้าหมาย 1,500-2,000 ไร่

“แคนาดอลกรุ๊ปถือเป็นนักลงทุนรายใหญ่จากยุโรป  ซึ่งยังคงมีความมั่นใจในทิศทางการลงทุนและไม่กังวลต่อสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศ   แม้ในขณะนี้ไทยจะกำลังประสบภาวะเงินบาทที่แข็งค่าแต่ก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหาที่จะกระทบด้านการลงทุน  เนื่องจากแคนาดอลมีแผนการลงทุนในระยะยาว  ซึ่งนับเป็นทิศทางที่ดีสำหรับบรรยากาศการลงทุนในไทยหลังจากนี้เป็นต้นไป” นายวิบูลย์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม  ในช่วงนี้ยังมีการเจรจากับนักลงทุนต่างประเทศอีกหลายราย  ซึ่งคาดว่าจะสามารถสรุปการเจรจาอีกหลายดีลในเร็วๆนี้   ซึ่งเชื่อว่าในภาพรวมของประเทศไทยขณะนี้ยังเป็นที่สนใจของนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะนักลงทุนจากกลุ่มยุโรป ญี่ปุ่น  ที่กำลังเคลื่อนย้ายทุนเข้ามาในแถบเอเชีย  และไทยถือเป็นเป้าหมายสำคัญ  ดังนั้นในปีหน้าถือเป็นโอกาสการลงทุนของไทยที่จะดึงเม็ดเงินเข้าประเทศได้เพิ่มขึ้น 

โดยปัจจุบันอมตะยังมีพื้นที่ที่เหลืออยู่ประมาณกว่า 14,000 ไร่ แบ่งเป็นนิคมฯอมตะนคร จังหวัดชลบุรีประมาณ 8,500 ไร่ และนิคมฯอมตะซิตี้ จังหวัดระยองประมาณ 6,000ไร่  และหากแบ่งสัดส่วนรายได้  อมตะจะมีรายได้จากการขายพื้นที่กว่า 53%  รองลงมาจะเป็นบริการด้านสาธารณูปโภค 29%   ค่าเช่า 12%  และอื่นๆ 10%  เงินปันผล 2% ซึ่งในอนาคตบริษัทจะมีการปรับสัดส่วนรายได้ในส่วนของการให้บริการต่างๆให้มีการเติบโตเฉลี่ย 4%  ต่อปี  โดยสัดส่วนในอนาคตจะเปลี่ยนเป็นรายได้มากจากการให้บริการ  80% ส่วนรายได้จากการเช่าพื้นที่จะอยู่ที่ 20%