จากไทยสู่เมียนมา คืนดวงตาพลิกชีวิต
หากลองนึกถึงว่าในสักวันใดวันหนึ่งดวงตาที่เราใช้มองสิ่งรอบตัวกลับต้องกลายเป็นดวงตาที่มืดสนิท
โดย จุฑามาศ เนาวรัตน์
หากลองนึกถึงว่าในสักวันใดวันหนึ่งดวงตาที่เราใช้มองสิ่งรอบตัวกลับต้องกลายเป็นดวงตาที่มืดสนิท ไม่สามารถมองเห็นได้แม้แต่แสงสว่าง นี่คงเป็นเรื่องที่หลายคนไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่สำหรับหลายล้านชีวิตในประเทศเมียนมาแล้วนั้น การต้องตกอยู่ในโลกที่มืดมิดจากโรคต้อกระจก ก็อาจเป็นสิ่งที่ยากจะหลีกเลี่ยง เพราะความขัดสนที่ทำให้ไม่มีเงินไปรักษา และแม้ว่าในบางรายจะได้รับการรักษาแล้ว แต่ก็ยังคงไม่สามารถกลับมามองเห็นได้ เนื่องจากระบบการแพทย์ของเมียนมาที่ยังไม่ก้าวหน้ามากนัก
สถานการณ์โรคต้อกระจกในเมียนมานั้นค่อนข้างน่าเป็นห่วง โดยจากสถิติของทางการเมียนมา ระบุว่า ปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคต้อกระจกในประเทศมากถึง 1.8 ล้านคน หรือราว 4% ของประชากรทั้งหมด ขณะเดียวกันเมียนมาก็มีปัญหาขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ ด้วยจำนวน 1.33 คน/ประชากร 1,000 คน ตามข้อมูลขององค์การอนามัยโลก
จากปัญหาเช่นนี้ ทำให้บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (เอสซีจี) และโรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์กรมหาชน) ตระหนักถึงความยากลำบากที่เกิดขึ้น จึงได้ก่อตั้งโครงการ “Sharing a Brighter Vision” หรือ “โครงการผ่าตัดต้อกระจกตา คืนแสงสว่างและความสุขให้กับชาวเมียนมาในรัฐมอญและรัฐกะเหรี่ยง” ซึ่งการแบ่งปันน้ำใจนี้ได้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 4 แล้ว โดยตั้งแต่เริ่มโครงการมาในปี 2014 จนถึงปีนี้ เอสซีจีได้ช่วยคืนแสงสว่างแก่ชาวเมียนมาแล้วมากถึง 622 คน
นพ.พรเทพ พงศ์ทวิกร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบ้านแพ้ว ระบุว่า โรคต้อกระจกมีสาเหตุมาจากการเสื่อมของเลนส์แก้วตา ส่งผลให้มองไม่ชัด เห็นภาพซ้อน และดวงตาพร่ามัวเมื่ออยู่ในสถานที่ที่มีแสงสว่างจ้า ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที ดวงตาก็จะบอดสนิทในที่สุด โดยส่วนใหญ่แล้วมักเกิดกับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป
การก้าวเข้าสู่ปีที่ 4 ของโครงการนี้มีสิ่งที่พิเศษกว่าปีก่อนๆ คือ โครงการได้ขยายการรักษาผู้ป่วยไปยังเมืองผะอัน รัฐกะเหรี่ยงด้วย จากเดิมที่ให้การรักษาผู้ป่วยในเมืองเมาะลำไย รัฐมอญ เท่านั้น ทำให้ในปีนี้สามารถรักษาผู้ป่วยโรคต้อกระจกได้มากถึง 250 คน
นพ.พรเทพ เล่าว่า เหตุผลที่ทำให้ตัดสินใจรับผู้ป่วยจากเมืองอื่นเพิ่มคือ แม้ว่าโครงการจะทำการผ่าตัดดวงตาให้แก่ผู้ป่วยในเมืองเมาะลำไยมาแล้วกว่า 622 คน แต่จำนวนผู้ป่วยโรคต้อกระจกในชนบทของเมียนมานั้นก็มีจำนวนที่สูง โดยจากสถิติของทางการเมียนมา ระบุว่า ในรัฐมอญมีผู้ที่เสี่ยงต่อการมีปัญหาโรคตามากถึง 5.3 หมื่นคน จากประชากรกว่า 2 ล้านคน ขณะที่ผู้ที่เสี่ยงต่อการมีปัญหาโรคตาในรัฐกะเหรี่ยงมีจำนวน 3.1 หมื่นคน จากประชากรทั้งหมด 1.4 ล้านคน
วันแห่งแสงสว่าง
การผ่าตัดผู้ป่วยโรคต้อกระจกในครั้งนี้เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลเมาะลำไย (Mawlamyine General Hospital) โรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในรัฐมอญ โดยทีมจักษุแพทย์จากโรงพยาบาลบ้านแพ้ว 4 คน ได้แก่ พญ.พัทธ์ศรัณย์ ธนะสุพรรณ ผู้อำนวยการศูนย์จักษุและต้อกระจก ซึ่งรับหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมผ่าตัด พญ.บุญสิริ หันจางสิทธิ์ พญ.พรรณสมร ชำนาญกิจ และ พญ.ชุติวรรณ อมรรัตนพันธ์ รวมถึงทีมบุคลากรอีก 27 คน
“สำหรับการผ่าตัดนั้นโรงพยาบาลบ้านแพ้วจะใช้มาตรฐานเดียวกันกับที่ดำเนินการในไทย โดยจะใช้เครื่องสลายต้อกระจกอันที่สมัยแบบเดียวกับในไทย พร้อมใช้เลนส์แก้วตาเทียมคุณภาพสูงจากสหรัฐแทนเลนส์แก้วตาเดิม โดยจะใช้ระยะเวลาในการผ่าตัดเฉลี่ยที่ 12 นาที/คน เทียบกับโรงพยาบาลในเมียนมาที่ใช้เวลาเฉลี่ย 1 ชั่วโมง และนำตัวผู้ป่วยไปนอนพักฟื้น จากนั้นหมอจะทำการเปิดดวงตาเพื่อตรวจอาการ รวมถึงให้แนะนำด้านการปฏิบัติดูแลรักษา เพื่อป้องกันการติดเชื้อและให้แผลสมานได้เร็วยิ่งขึ้น โดยใช้เวลาในการดำเนินการทั้งสิ้น 4 วัน และผู้ป่วยจะสามารถกลับมามองเห็นได้อีก 1 เดือนต่อจากนี้” นพ.พรเทพ กล่าว
นามุนโหล่ว หญิงชราชาวเมียนมาวัย 73 ปี เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับการผ่าตัดจากโครงการ ซึ่งก่อนหน้านี้โหล่วต้องทนทุกข์อยู่กับความมืดมิดมายาวนานกว่า 20 ปี เพราะตาทั้งสองข้างบอดสนิทเนื่องจากโรคต้อกระจก แม้ว่าจะเคยเข้ารับการผ่าตัดมาแล้ว แต่อาการก็ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น และด้วยฐานะที่ยากจนประกอบกับต้องเลี้ยงดูลูกอีก 4 ชีวิตเพียงลำพัง ทำให้หญิงชราคนนี้ถึงกับสิ้นหวังว่าในชีวิตนี้อาจจะไม่สามารถกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง
“ตอนนี้รู้สึกตื่นเต้นมากที่กำลังจะได้รับการผ่าตัดอีกครั้ง เพราะเมื่อ 20 ปีก่อนเคยผ่าตัดมาแล้ว 1 ครั้ง แต่ก็ยังมองไม่เห็น ตอนนั้นค่าใช้จ่ายก็สูงมากประมาณ 1.5 แสนจ๊าด (ราว 3,093 บาท) ถ้ากลับมามองเห็นอีกครั้งจะดีใจมาก อยากขอบคุณจนไม่รู้จะขอบคุณอย่างไร” โหล่ว กล่าว
ไม่ใช่แค่ผู้ป่วยที่กำลังจะเข้ารับการผ่าตัดเท่านั้นที่รู้สึกตื่นเต้น บรรดาลูกหลานและญาติของผู้ป่วยที่ต่างมาให้กำลังใจจนโรงพยาบาลเมาะลำไยแน่นขนัดไปด้วยผู้คนก็ต่างรู้สึกตื่นเต้นไม่แพ้กัน
ที เคียง หญิงสาววัย 15 ปี เล่าว่า วันนี้มากับคุณย่าวัย 52 ปี ที่มีอาการตามัวเพราะโรคต้อกระจกมาแล้ว 2 ปี ช่วงที่คุณย่าเริ่มมองไม่เห็น เคียงต้องเป็นคนรับหน้าที่ดูแลคุณย่า เนื่องจากพ่อและแม่ของเธอมาทำงานที่กรุงเทพฯ ตอนที่รู้ว่ามีโครงการนี้จากเจ้าอาวาสของวัดใกล้บ้านก็รู้สึกดีใจมาก เพราะก่อนหน้านี้เคยผ่าตัดมาแล้วถึง 2 ครั้งแต่ก็ไม่หาย และอยากให้โครงการนี้มีตลอดไป เพราะอยากให้คนอีกหลายคนได้รับการรักษาเหมือนคุณย่า
แบ่งปันอย่างยั่งยืน
นอกจากการให้การผ่าตัดดวงตาแล้ว เอสซีจียังได้มุ่งมั่นช่วยผู้ป่วยโรคต้อกระจกในเมียนมาในระยะยาว ด้วยการบริจาคเครื่องสลายต้อกระจกความถี่สูง (Phacoemulsification Machine) ให้แก่โรงพยาบาลเมาะลำไย เมื่อปี 2016 ที่ผ่านมา เพื่อช่วยให้จักษุแพทย์สามารถผ่าตัดดวงตาผู้ป่วยได้อย่างแม่นยำและปลอดภัยมากขึ้น รวมถึงช่วยลดระยะเวลาการผ่าตัดให้สั้นลง
“เอสซีจีมุ่งมั่นและทุ่มเทดำเนินงานด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ เพื่อสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการเติบโตของธุรกิจ ตลอดจนพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งในประเทศและทั่วภูมิภาค โดยคำนึงถึงความต้องการของชุมชนในพื้นที่เป็นหลัก” เกษม วัฒนชัย ประธานกรรมการกิจการสังคมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของเอสซีจี กล่าว


