ราชสกุลในพระบรมราชจักรีวงศ์ (84)
พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีทรงอุปการะกิจการเพื่อการสาธารณประโยชน์อื่นๆ
โดย วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย
พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีทรงอุปการะกิจการเพื่อการสาธารณประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย อาทิ สมาคม องค์กร และชุมนุมซึ่งบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม เช่นเมื่อครั้งทรงเจริญพระชนมายุ 60 พรรษา ในวันที่ 15 เมษายน ปี 2508 ได้ทรงจัดงานฉลองพระชนมายุ ณ วังรื่นฤดี มีเจ้านายพระบรมวงศ์ผู้ใหญ่ ตลอดจนพระอนุวงศ์ ข้าราชบริพาร และผู้จงรักภักดีเสด็จและเดินทางมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก มีสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ 7 เป็นอาทิ การนั้นได้มีผู้ถวายเงินโดยเสด็จพระกุศลตามพระอัธยาศัยเป็นจำนวนมาก จึงได้ทรงสมทบเพิ่มเติมและประทานแก่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย จนสามารถสร้างอาคารสำหรับผู้ป่วยนอกและห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ทางด้านสวนลุมพินีได้ 1 หลัง แต่มิได้โปรดให้ใช้พระนามของพระองค์เป็นนามตึก หากแต่ได้พระราชทานนามว่า “ตึกมงกุฎ-เพชรรัตน” โอกาสนั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดตึก ในวันที่ 24 พฤศจิกายน ปี 2510 ด้วย นอกจากนี้ ทรัพย์สินส่วนพระองค์ที่ทรงได้รับมรดกคือที่ดินและบ้านของพระบุพการี ณ จังหวัดปราจีนบุรี ก็ทรงพระกรุณาประทานกรรมสิทธิ์ให้แก่ทางราชการ เมื่อทางราชการได้ใช้สถานที่ดังกล่าวสร้างโรงพยาบาลก็ไม่ใช้พระนามของพระองค์เป็นนามโรงพยาบาลแห่งนี้ หากแต่โปรดพระราชทานนามว่าโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เพื่อเป็นเกียรติแก่พระบรรพบุรุษ
ในกาลต่อมาเป็นเวลา 8 ปีหลังจากพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ในรัชกาลที่ 6 สิ้นพระชนม์แล้ว โรงพยาบาลได้สร้างอาคารเพิ่มเติมเป็นอาคารสูง 4 ชั้น และขอพระราชทานพระอนุญาตขนานนามว่า “อาคารเพชรรัตน-สุวัทนา” นับเป็นครั้งแรกที่มีพระนามปรากฏต่อสาธารณชนบนถาวรวัตถุสถาน นอกจากนี้ ยังทรงอุปการะกิจกรรมซึ่งเฉลิมพระเกียรติของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวร่วมกับพระธิดาอยู่มิได้ขาด
พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี และเจ้าฟ้าพระราชธิดา โปรดที่จะเสด็จประพาสรถทุกเย็นเพื่อทรงชมพระพุทธรูป หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ในกรุงเทพฯ และจังหวัดปริมณฑล พระบรมราชานุสาวรีย์พระบรมราชบุพการี หรืออัฐิของพระบุพการีในสายสกุลบุนนาค โดยจะเสด็จเพียงสองพระองค์ พร้อมกับสารถีและข้าราชบริพาร เป็นการเสด็จอย่างเงียบๆ ไม่มีรถนำขบวน ไม่ปักธงพระบรมราชวงศ์ใหญ่ เมื่อไฟแดงรถพระที่นั่งก็หยุดอย่างสามัญชน แต่เพียงว่าในสมัยนั้นรถและการจราจรยังไม่ติดขัด ด้วยพระอุปนิสัยเช่นนี้จึงมักจะได้ทอดพระเนตรวิถีชีวิตของราษฎรโดยปราศจากการปรุงแต่งของทางราชการ โดยมักจะมีรับสั่งกับชาวบ้านแถวพระตำหนักสวนรื่นฤดีเสมอ บางคราวก็เสด็จไปประทับเสวยพระกระยาหารที่บางปู จังหวัดสมุทรปราการ และจะพระราชทานอาหารแก่นกนางนวลที่หนีหนาวมา บางครั้งก็เสด็จไปต่างจังหวัดโดยเงียบๆ ไม่แจ้งแก่ทางราชการ หรือสำนักพระราชวัง เช่น เมื่อคราวเสด็จจังหวัดสมุทรสาคร ก็เสด็จไปในตลาด ทอดพระเนตรวิถีชีวิตชาวบ้านที่ดำเนินชีวิตตามปกติ โดยในวันนั้นมีการแสดงอุปรากรจีน (งิ้ว) ที่ตลาดแห่งนั้น เมื่อทอดพระเนตรเห็นเก้าอี้ไม้ธรรมดาเหมือนตามโรงเรียนประชาบาลสองตัวว่างอยู่ ก็เสด็จประทับทอดพระเนตรการแสดงอย่างชาวบ้านทั่วไป พร้อมมีรับสั่งอย่างสนุกสนาน เมื่อการแสดงจบเจ้าของคณะงิ้วก็นำตัวพระกับตัวนางมากราบแทบฝ่าพระบาท พร้อมทั้งรับพระราชทานเงินของขวัญจากทั้งสองพระองค์ พระนางเจ้าสุวัทนาฯ โปรดที่จะมีรับสั่งกับประชาชนทั่วไปอย่างไม่ถือพระองค์ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ด้วยเจียมพระองค์ว่าเดิมทรงเป็นสามัญชนแม้ในปัจจุบันจะดำรงพระยศสูงส่งก็ตามที เช่น เมื่อคราวเสด็จอำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง มีรับสั่งกับชาวบ้านสูงอายุอย่างออกรสว่า “...ยายจ๋าเป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ สบายดีไหม...ไหนดูสิยายปวดหลังเหมือนฉันไหม?...” ชาวบ้านเห็นว่ามีรับสั่งเช่นนี้ก็ตกใจที่พระราชวงศ์ลงมานับญาติด้วย แต่ก็กล้าตอบด้วย เพราะเห็นว่าพระบรมวงศานุวงศ์ก็เจ็บเป็นปวดเป็น ทำให้ทรงใกล้ชิดกับราษฎรและทอดพระเนตรเห็นปัญหาของราษฎรอย่างแท้จริง
ได้โปรดที่จะเสด็จประพาสตลาดแทบทุกเย็น และโปรดจะประพาสตลาดหัวเมืองต่างๆ ทั้งทรงสนับสนุนสินค้าของราษฎร เช่นผ้าทอ เครื่องจักสาน รวมถึงผัก ผลไม้ ต้นไม้ไม้ดอกไม้ประดับ เพื่อเป็นการสนับสนุนสินค้าของราษฎร เพื่อส่งเสริมให้ราษฎรมีรายได้ และยังพระราชทานเงินสำหรับซื้อผ้าห่มและผ้านุ่งจากตลาดต่างๆ เวลาเสด็จหัวเมืองและนำมาเก็บไว้ที่วัง เมื่อเสด็จในที่ทุรกันดารก็จะโปรดให้เอาไปพระราชทานแก่ราษฎร
พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ทรงสนับสนุนกิจการลูกเสือโดยพระราชทานเงินสนับสนุนกิจการลูกเสือที่พระสวามีทรงก่อตั้งไว้ ทั้งยังทรงอบรมพระราชธิดาด้วยความทรงจำเมื่อครั้งตามเสด็จพระสวามีไปยังพระราชวังสนามจันทร์และมีการสวนสนามของเสือป่าและลูกเสือ ทั้งยังทรงเป็นเบื้องหลังในการสนับสนุนการก่อตั้งคณะเนตรนารีเพชราวุธ โดยมิได้ทรงออกพระนาม
ด้านนาฏศิลป์ เมื่อสิ้นรัชกาลพระสวามี ก็ทรงสนับสนุนการละครหลวง โดยจะเสด็จพระดำเนินไปทอดพระเนตรละครที่โรงละครของพระยาอนิรุธเทวา เมื่อเสด็จไปประเทศอังกฤษ ก็ทรงเผยแผ่วัฒนธรรมไทยอาทิ การรำ การละคร ซึ่งส่วนใหญ่จะแสดงเป็นละครจากบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยอาศัยงานสมาคมชาวไทยในอังกฤษ งานสามัคคีสมาคม หรืองานภายในพระตำหนัก โดยจะเป็นประธานนำรำวง โดยชาวต่างชาติต่างชื่นชมในวัฒนธรรมไทย ด้วยทรงเคยรับราชการในกรมมหรสพมาก่อนจึงทรงรำวงได้งดงามมาก เมื่อเสด็จนิวัตประเทศไทยแล้วก็โปรดพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์บำรุงนาฏศิลป์ไทย
พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี โปรดไม้ดอกไม้ประดับอย่างยิ่ง ในวังของพระองค์มีสวนดอกไม้อันงดงาม เต็มไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับมากมาย จึงมีคนที่อยากจะยลโฉมสวนดอกไม้ของพระองค์มากมาย โปรดที่จะซื้อต้นไม้จากเกษตรกรเพาะปลูกจากตลาดนัดท้องสนามหลวง จนเต็มท้ายรถพระที่นั่งทุกสัปดาห์ และยังโปรดเพาะพันธุ์ต้นไม้อีกด้วย
พระนางเจ้าสุวัทนาฯ มีพระอัจฉริยภาพด้านการทำอาหารอย่างยิ่ง ทำได้ทั้งของคาวของหวาน ทั้งอาหารไทยและอาหารฝรั่ง โดยว่ากันว่าอาหารและขนมฝรั่งทรงเรียนจากนิตยสารประจำสัปดาห์และหนังสือสอนทำอาหาร ส่วนอาหารไทยทรงเรียนมาจากคุณท้าวแก้ว ผู้เป็นยาย เมื่อทรงพระเยาว์ที่บ้านสวนสาลี่ (ทำเนียบรัฐบาลในปัจจุบัน) พระนางเจ้าสุวัทนาฯ โปรดที่จะทำอาหารเลี้ยงบรรดานักเรียนไทยในอังกฤษ โดยจะเป็นอาหารไทยทั้งสิ้น ส่วนงานจัดปาร์ตี้ก็จะทรงจัดทั้งอาหารไทยและฝรั่ง โดยถ้ามีงานก็จะทรงประกอบอาหารอยู่ในห้องเครื่องทั้งวัน ด้านขนมนั้น ทรงทำอร่อยหลายอย่าง อาทิ เค้ก มารากรอง ฯลฯ ตามคำบอกเล่าของข้าหลวงในตำหนักถึงฝีพระหัตถ์ในการทำเค้กคริสต์มาส ว่า
พอถึงเดือนกันยา-ตุลา เสด็จพระนางฯ จะทรงเตรียมทำฟรุตเค้ก และคริสต์มาสพุดดิ้ง ล่วงหน้าก่อนงานคริสต์มาสเป็นเดือนๆ ทรงเตรียมแป้ง น้ำตาล ผลไม้แห้ง ถั่ว เครื่องเทศต่างๆ และเหล้าบรั่นดี หมักใส่ชามใหญ่ห่อผ้าเก็บไว้ใต้ถุนตำหนัก สองเดือนผ่านไปก็ได้ที่ พอวันงานก็ทรงนำมานึ่งอีกตั้ง 4-5 ชั่วโมงจนสุก แล้วราดด้วยบรั่นดีซอส ...น่าเสียดายที่ไม่รู้สูตรของท่าน จำได้แต่ว่าไม่เคยรับประทานคริสต์มาสพุดดิ้งที่ไหน อร่อยเท่าของเสด็จพระนางฯ
พระนางเจ้าสุวัทนา มีพระอัจฉริยภาพในด้านการถ่ายภาพ โดยเมื่อคราวที่เสด็จประพาสปีนังจวบจนเสด็จไปยังอังกฤษ พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ทรงโปรดการถ่ายภาพและสนพระทัยการถ่ายภาพอย่างจริงจัง ทรงศึกษาการใช้กล้องถ่ายภาพต่างๆ รวมทั้งโปรดที่จะถ่ายภาพในขณะที่ประพาสที่ต่างๆ
พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี โปรดที่จะทรงกีฬามาตั้งแต่ประทับในสวนดุสิต สนพระทัยกีฬาหลายประเภท ตามพระราชนิยมของสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ที่โปรดทรงกีฬาหลายประเภท แต่กีฬาส่วนใหญ่มักเป็นแบบฝรั่ง ตามอย่างเจ้านายเล่นกัน เมื่อเสด็จประทับ ณ ประเทศอังกฤษ โปรดที่จะทรงกอล์ฟและเทนนิส ตามพระราชนิยมของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ที่โปรดจะทรงกีฬากอล์ฟและโปรดเกล้าฯ ให้จัดการแข่งขันกอล์ฟขึ้น
พระนางเจ้าสุวัทนา ทรงศึกษาภาษาอังกฤษจากครูที่ทรงจ้างมาสอนสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา พระราชธิดาพระองค์เดียว จนทรงสามารถมีรับสั่งกับชาวต่างประเทศได้อย่างคล่องแคล่ว มีรับสั่งกับพนักงานร้านทิฟฟานี่ที่ดูแคลนพระเกียรติของพระองค์ อย่างคล่องแคล่ว พร้อมเคยรับสั่งกับผู้จัดการธนาคารในสหรัฐอเมริกาอย่างคล่องแคล่ว สั่งกับเลขาเจ้าระเบียบของมิสเตอร์แพตเดอร์สันอย่างคล่องแคล่วและยังทรงใช้สำนวนจนเลขาผู้นั้นยอมให้พระองค์พบกับมิสเตอร์แพตเดอร์สัน
ในรัชกาลที่ 9 เมื่อถึงโอกาสพิเศษแห่งพระชนมายุเช่นเมื่อคราวฉลองพระชนมายุ 5 รอบ 15 เมษายน ปี 2508 ก็พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รับพระราชทานน้ำพระมหาสังข์ ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง ทั้งนี้ ในขณะที่พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ทรงหมอบเฝ้ารับพระราชทานน้ำพระมหาสังข์จากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงทรุดพระองค์จากพระเก้าอี้ลงมาประทับราบกับพื้น แสดงพระกิริยานอบน้อมอันยังความปีติซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณแก่พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี เป็นล้นพ้น ในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม ปี 2510 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้พระราชทานเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ (ฝ่ายใน) แก่พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี เป็นเหตุให้ทรงโสมนัสยินดีเป็นอย่างยิ่งถึงกับออกพระโอษฐ์ว่า “ดีใจที่สุดในชีวิต” เพราะเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลนี้เป็นเครื่องทรงเฉพาะราชตระกูล เช่น พระมหากษัตริย์ สมเด็จพระบรมราชินี และสมเด็จเจ้าฟ้าตลอดจนพระราชวงศ์ชั้นสูงเท่านั้น
นอกจากนั้น นับแต่ทรงเจริญพระชนมายุ 60 พรรษาเป็นต้นมา ก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานน้ำสรงในเทศกาลสงกรานต์เป็นประจำทุกปี เมื่อประชวรก็โปรดเกล้าฯ ให้แพทย์หลวงอภิบาลรักษา พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์โดยตลอด
พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี นับตั้งแต่นิวัตประเทศไทย ก็ทรงบำเพ็ญพระกรณียกิจไม่เคยขาด เพราะมีพระอนามัยดีไม่เคยประชวรจนขนาดเสด็จเข้าประทับในโรงพยาบาล จนเริ่มมีพระชนมายุ 70 พรรษา เป็นช่วงที่เกิดเหตุการณ์ทางการเมืองเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยมีผลทำให้พระนางเจ้าสุวัทนาฯ ทรงหวนรำลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมา เช่น การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี 2475 กบฏบวรเดช สงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ทรงระวังการกระทำของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ทุกฝีก้าวเสมือนสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ยังทรงพระเยาว์มีพระชันษาไม่กี่ปี ต่อมาจึงประชวรด้วยพระโรคอัลไซเมอร์ โดยในช่วงแรกยังไม่แสดงอาการอีกทั้งยังทรงระงับพระอาการได้ทำให้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้นอกไปจากแพทย์ประจำพระองค์ และข้าหลวงผู้เฝ้าใกล้ชิด จนกระทั่งวันหนึ่งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้นางสนองพระโอษฐ์มาเยี่ยมพระนางเจ้าสุวัทนาฯ และสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี พระนางเจ้าสุวัทนาฯ ก็เสด็จลงมาต้อนรับนางสนองพระโอษฐ์เช่นเคย แต่เมื่อทรงพระดำเนินลงบันไดมาถึงช่วงกลางบันไดก็ทรงทรุดพระองค์ลงประทับที่กลางบันไดนั้นเป็นเวลาเกือบ 10 นาที เหมือนกับทรงคำนึงอะไรอยู่ แล้วจึงเสด็จพระดำเนินต่อ นางสนองพระโอษฐ์ผู้นั้นจึงแจ้งแก่แพทย์ประจำพระองค์ว่าพระอาการทรุดหนักแล้ว แพทย์จึงถวายพระโอสถรักษา แต่พระโอสถนี้ยังมีผลข้างเคียงทำให้พระองค์ทรงดุษณีภาพต่างๆ ขึ้นมา ทั้งยังทำให้วิตกพระจริตอย่างเช่น เมื่อหลานสาวของอดีตนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่ง มาเฝ้าทูลละอองพระบาท พระนางเจ้าสุวัทนาฯ ก็ทรงมีรับสั่งด้วยดี จนกระทั่งหลานสาวของอดีตนายกรัฐมนตรีผู้นั้นทูลลากลับไป พระนางเจ้าสุวัทนาฯ จึงทรงตรัสกับข้าหลวงที่เฝ้าอยู่นั้นว่า “เขาพกปืนเข้ามา ยิงทะลุเพดาน” ซึ่งเหตุการณ์ย่อมเป็นไปไม่ได้เมื่อหลานสาวของอดีตนายกรัฐมนตรีท่านนั้น คุ้นเคยกับชาววังรื่นฤดีอย่างยิ่ง เพราะเคยมาเฝ้าฯ อยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งร่องรอยกระสุนบนเพดานก็ไม่มี แพทย์จึงเชิญเสด็จเข้ารักษาพระอาการ ณ โรงพยาบาลศิริราช ทรงรักษาอยู่ 4 เดือน ก็มีพระอาการทุเลาลงมาก และเสด็จไปพักพระวรกายที่พระตำหนักพัชราลัย อยู่ระยะหนึ่ง ต่อมาก็ประชวรด้วยพระโรคพระปัปผาสะอักเสบ จนต้องรักษาพระองค์เป็นเวลานาน ณ โรงพยาบาลศิริราช
พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ประชวรด้วยพระอาการพระปัปผาสะอักเสบและมีพระอาการแทรกซ้อน กระทั่งสิ้นพระชนม์ในวันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม ปี 2528 เวลา 19.09 นาฬิกา ณ โรงพยาบาลศิริราช ขณะพระชนมายุ 80 พรรษาเศษ
ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สรงน้ำพระศพ ณ พระที่นั่งทรงธรรม วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ในวันที่ 11 ตุลาคม ปี 2528 ซึ่งเป็นวันเดียวกับวันที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สถาปนาเจ้าจอมสุวัทนาขึ้นเป็นพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี เมื่อ 60 ปีก่อน พระราชทานพระโกศทองน้อย ประดิษฐานพระศพภายใต้ฉัตรตาดทอง 5 ชั้น ณ พระที่นั่งทรงธรรม วัดเบญจมบพิตร
เมื่อถึงงานพระเมรุ ได้อัญเชิญพระโกศโดยรถวอพระวิมานไปยังพระเมรุวัดเทพศิรินทราวาส ในวันที่ 8 มีนาคม ปี 2529 และพระราชทานเพลิงพระศพในวันเดียวกันนั้น และมีการเก็บพระอัฐิในวันที่ 9 มีนาคม และวันฉลองพระอัฐิเมื่อวันที่ 14 มีนาคม ซึ่งทั้งสองงานดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ปฏิบัติพระกรณียกิจแทนพระองค์ ส่วนพระอัฐิของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ในรัชกาลที่ 6 ได้ประดิษฐาน ณ หอพระนากในพระบรมมหาราชวัง และส่วนหนึ่งเชิญไปประดิษฐานยังวิมานพระอัฐิ วังรื่นฤดี
ส่วนพระสรีรางคารของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ได้ประดิษฐาน ณ ใต้ฐานพระร่วงโรจนฤทธิ์ วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร จังหวัดนครปฐม เคียงข้างพระราชสวามี ตามพระราชพินัยกรรมที่ทรงลิขิตไว้ว่า “...ส่วนเรื่องพระอัษฐินั้น, ใครจะคิดอย่างไรก็ตาม, แต่เราเห็นโดยจริงใจว่า สุวัทนาสมควรที่จะได้ตั้งคู่กับเรา” และภายหลังการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี พระราชธิดา จึงได้มีการนำพระสรีรางคารส่วนหนึ่งมาบรรจุไว้เคียงข้างกับพระราชสรีรางคารของพระราชชนก และพระชนนี


