การเสด็จลำน้ำมะขามเฒ่าของรัชกาลที่ 5
เรื่องตีพิมพ์วันที่ 28 ต.ค. 2561 ตรงกับวันที่ 28 ต.ค. 2451 หรือ 110 ปี
โดย สมาน สุดโต
เรื่องตีพิมพ์วันที่ 28 ต.ค. 2561 ตรงกับวันที่ 28 ต.ค. 2451 หรือ 110 ปี ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสร็จสิ้นการเสด็จประพาสลำน้ำมะขามเฒ่า ที่ทรงใช้เวลาเสด็จตั้งแต่วันที่ 15-28 ต.ค. 2451 รวมเวลา 14 วัน โดยเสด็จผ่านเมืองต่างๆ ได้แก่ ชัยนาท สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง และสิงห์บุรี
การเสด็จครั้งนั้น บันทึกอยู่ในพระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่พระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ที่ต่อมาทรงครองราชสมบัติทรงพระนามว่า สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6
ตามพระราชหัตถเลขานั้น ทรงเล่าเรื่องการเสด็จตามสถานที่ต่างๆ คล้ายกับการเสด็จประพาสต้น (พ.ศ. 2447 ร.ศ. 123) ทำให้ทรงเห็นสภาพท้องถิ่น และภูมิศาสตร์ ที่ส่งผลต่อพระราชดำริด้านการเมืองการปกครองด้วย
เพื่อเพิ่มพูนความรู้ ด้านประวัติศาสตร์ บรรณาธิการเรื่องเสด็จประพาสลำน้ำมะขามเฒ่าฯ (ที่ตีพิมพ์ ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2561) ได้พิมพ์บทความในหัวข้อเรื่อง พระราชหัตถเลขาเรื่อง เสด็จประพาสลำน้ำมะขามเฒ่า เมื่อ พ.ศ. 2451 :เอกสารประวัติศาสตร์ การสำรวจลำน้ำเก่าในสมัยร.5 ด้วย
บทความนี้ทำให้เห็นวิวัฒนาการด้านการชลประทานในประเทศไทยและแสดงให้เห็นถึงสายพระเนตรที่ยาวไกลที่มีต่อพสกนิกรมากล้นเหลือพรรณนา
โปรดอย่าลืมว่า แม่น้ำลำคลองที่พระองค์ออกสำรวจนั้น เป็นลำน้ำโบราณ เกิดโดยธรรมชาติและไม่เคยมีบันทึกเรื่องลำน้ำเปลี่ยนสาย ดังพระบรมราชโองการ ดังนี้
ได้ทรงพระราชดำริเห็นมานานแล้ว ว่าจดหมายเหตุการณ์ของเราไม่มีแห่งใดได้เอาใจใส่ในเรื่องน้ำเปลี่ยนสาย จดหมายลงไว้อย่างไรคนภายหลังก็จะคิดค้นหาลู่ทางให้เหมือนอย่างที่ได้จดหมายลงไว้แต่ก่อนเมื่อค้นไปไม่เห็นจริงก็ไม่เชื่อ เรื่องที่เล่านั้นก็ไม่เป็นที่พอใจที่จะพิจารณาต่อไป อีกฝ่ายหนึ่งนั้นย่อมปรากฏรู้อยู่ด้วยกันโดยมากว่ามีลำน้ำเก่าลำน้ำด้วนอยู่เป็นหลายแห่ง แต่ก็ไม่มีผู้ใดพิจารณาให้เป็นหลักฐานว่าลำน้ำเดิมนั้นเป็นอย่างไร จึงเป็นลำน้ำใหญ่ ด้วนเขินไปด้วยเหตุไร เมื่อครั้งใด เพราะเหตุที่ไม่ได้พิจารณาลำน้ำสอบกับท้องเรื่องจดหมายโบราณ พงศาวดาร หรือจดหมายเหตุจึงได้สาบสูญลืมและเลือนไปเสียเป็นอันมาก...
ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้พระยาศรีสหเทพ (เส็ง วิริยศิริ ต่อมาโปรดเกล้าฯ ตั้งเป็นพระยามหาอำมาตยาธิบดี) เป็นผู้จัดทำแผนที่แม่น้ำเก่าและใหม่ พร้อมกันนี้ยังโปรดเกล้าฯ ให้ข้าหลวงเทศาภิบาลและผู้ว่าราชการเมืองต่างๆ ทำการสำรวจตรวจสอบที่ตั้งและสภาพลำน้ำเก่าภายในหัวเมืองของตน แล้วส่งรายงานแก่พระยาศรีสหเทพ เพื่อ “พิเคราะห์สอบสวนกับสายน้ำซึ่งมีอยู่ในแผนที่ ให้เห็นว่าสายน้ำเดิมจะเป็นอย่างไร เปลี่ยนแปลงตื้นตันด้วยน้ำมาร่วมกันและขาดกันอย่างไร จะเป็นประโยชน์แก่ทางความรู้เรื่องราวในพระราชอาณาจักรเป็นอันมาก”
ด้วยเหตุนี้ การเสด็จประพาสลำน้ำมะขามเฒ่า เมื่อ พ.ศ. 2451 จึงนับเป็นการสำรวจลำน้ำเก่าครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาระบบชลประทานและการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ราบลุ่มภาคกลางในเวลาต่อมา
ก่อนเสด็จคลองมะขามเฒ่า เดือน ต.ค. 2451 นั้น พระองค์โปรดฯ ให้จ้าง เย. โฮมานวานเดอร์ (J. Homan Van der Heide) วิศวกรชาวเนเธอร์แลนด์ มาเป็นที่ปรึกษาด้านชลประทาน ใน พ.ศ. 2445 และทรงให้ตั้งกรมคลองขึ้น พ.ศ. 2446 (ปัจจุบันคือกรมชลประทาน) โดยมี เย. โฮมาน วานเดอร์
เป็นเจ้ากรมคลองคนแรก
เย. โฮมาน วานเดอร์ ศึกษาสำรวจและวางแผนการจัดการน้ำสยาม เสนอให้เจ้าพระยาเทเวศร์วงวิวัฒน์ เสนาบดีกระทรวงเกษตร เมื่อ พ.ศ. 2446 ตามรายงานนั้นระบุแผนการพัฒนาชลประทานในพื้นที่ราบลุ่มภาคกลางตอนล่างตั้งแต่ชัยนาทถึงอ่าวไทย โดยกำหนดให้สร้างเขื่อนทดน้ำขนาดใหญ่กั้นแม่น้ำเจ้าพระยาที่ จ.ชัยนาท เพื่อทดน้ำไว้เพาะปลูก จะส่งผลให้การเพาะปลูกที่ราบลุ่มภาคกลางได้ผลผลิตมากขึ้น โดยเรียกโครงการชลประทานนี้ว่าสกีมชัยนาท
โครงการของโฮมานมูลค่าลงทุน 60 ล้านบาทนั้น ไม่ได้รับการอนุมัติ เพราะเป็นโครงการที่มีค่าใช้จ่ายสูง พระเจ้าอยู่หัว ร.5 ทรงให้กรมคลองดำเนินการเพียงขุดคลองที่ตื้นเขิน และสร้างประตูน้ำตามคลองสำหรับทดน้ำเพื่อใช้ในการเพาะปลูก และให้เรือแพสัญจรไปมา
ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2451 จึงโปรดฯ ให้เตรียมการเสด็จประพาสลำน้ำมะขามเฒ่า ซึ่งเป็นลำน้ำที่มีความสำคัญในการเพาะปลูกและคมนาคม
บทความทางวิชาการ สรุปว่า การเสด็จประพาสลำน้ำมะขามเฒ่า เมื่อ พ.ศ. 2451 นับเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาระบบชลประทาน และการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ราบลุ่มภาคกลาง เช่น การโปรดฯ ให้ขุดคลองหลายแห่ง เช่น คลองเปรมประชากร คลองสาทร และคลองรังสิต เป็นต้น


